ประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่
2 ( พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ) ( พ.ศ. 2352-2367)
การฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณี -
ศิลปวัฒนธรรม
- ทรงฟื้นฟูประเพณี วันวิสขบูชา
เดิมงานประเพณีวันวิสาขะบูชา
ได้เคยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
ถึงอยุธยา แต่เนื่องจากเกิดศึกสงคราม งานประเพณีจึงไม่ได้ จัดกัน ด้วยเหตุที่บ้านเมืองวุ่ยวายไม่สงบสุข
ครันถึงสมัยรัชกาลที่ 2 บ้านเมือง
ร่มเย็นสงบสุขดี รัชกาลที่ 2 ได้ปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราช เมื่อเห็นสมควรดีแล้ว
จึงได้โปรดให้ทำเป็นพระราชพิธีใหญ่โต
เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำและวันแรม 1ค่ำ พระมหากษัตริย์
ขุนนาง ไพร่ ทาส จะรักษาศีล 8 (พระอุโสถศีล)
ปล่อยนกปล่อยปลา ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามเสพสุรา ให้ตั้งโคมแขวนเครื่องสักการะบูชา
เวียนเทียน โปรดให้มีพระธรรมเทศนา
ในพระอารามหลวง ถวายเครื่องไทยทานจนครบ 3 วัน
- พระราชพิธีอาพาธพินาศ
เนื่องจากมีโรคอหิวาตกโรค
ระบาดจึงได้ประกอบพิธีนี้ขึ้น และมีการตั้งโรงทาน เพื่อพระราชทานเลี้ยงอาหารแก่ราษฎร
ในปีพุทธศักราช 2363 ได้เกิดอหิวาตกโรคระบาด ในพระนคร นานประมาณ 15 วัน
ทำให้ราษฎร ล้มตายเป็นจำนวนมาก
( ประมาณ 30,000คน ) มีศพลอยอยู่ตามลำน้ำคูคลองอยู่กลาดเกลื่อน ซากศพทับถมเป็นกอง
ทางวัดไม่สามารถเผาได้หมดจนพระสงฆ์ต้องหนีออกจากวัด ชาวบ้านต้องหนีออกจากบ้าน
สร้างความวุ่นวายอย่างมากภายใน
พระนคร รัชกาลที่ 2 จึงโปรดให้ประกอบพระราชพิธีอาพาธพินาศขึ้น เมื่อวันจันทร์ขึ้น
7 ค่ำเดือน 10 พ.ศ. 2363 พระราชพิธีนี้
จัดทำขึ้น ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ลักษณะของพระราชพิธีนี้คล้ายกับพิธีตรุษ
กล่าวคือมีการยิ่งปืนใหญ่รอบพระนครตลอดรุ่งคืน แล้วอัญเชิญพระแก้วมรกตออกแห่มีพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ออกร่วมขบวนแห่ด้วย
โดยทำหน้าที่โปรยทรายและประพรมน้ำพระปริตร เพื่อขับไล่โรคร้ายทั้งทางบกและทางน้ำ
พร้อมทั้งพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง หยุดงาน เพื่อรักษาศีลทำบุญทำทาน
ตามใจสมัคร ประกาศห้ามราษฎรฆ่าสัตว์ ให้ราษฎรอยู่แต่ในบ้านเรือน ถ้ามีธุระจำเป็นจริง
ๆ จึงให้ออกจากบ้านได้ พระราชทานทรัพย์ให้เผาศพทีไร้ญาติ และโปรดให้ปล่อยนักโทษออกจากที่คุมขังจนหมดสิ้น
นอกจากนี้ได้โปรดให้ตั้งโรงทานขึ้น
ณ ริมประตูศรีสุนทร พระราชทานอาหารเลี้ยงราษฎรที่มีความปรารถนามารับพระราชทาน
การรับประทานอาหารที่ถูกหลักอนามัย บ้านเมืองสะอาด ทำให้โรคอหิวาตกโรคหมดไป(
ในสมัยนั้นยังไม่รู้จักเชื้ออหิวาตกโรค)
เรียกกันว่า "โรคห่าระบาด"
- ด้านสถาปัตยกรรม มีการขยายเขตพระบรมมหาราชวัง
สร้างสวนขวา
- การปั้นและการแกะสลัก
ทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารพระศรีศากยมุนีวัดสุทัศน์เทพวรารามคู่หน้าด้วยพระองค์เองคู่กับกรมหมื่นจิตรภักดทรงแกะสลัก
หน้าพระใหญ่และหน้าพระน้อย ที่ทำจากไม้รัก คู่หนึ่ง เรียกกันว่า พระยารักใหญ่
กับ พระยารักน้อย
- ทรงปั้นพระพักตร์ พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
- ด้านการดนตรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระปรีชาสามารถในการดนตรีเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะดนตรีไทย เครื่องดนตรี
ีที่ทรงโปรดมากคือ ซอสามสาย ทรงพระราชทานนามว่า
"ซอสายฟ้าฟาด" พระองค์ทรงแต่งเพลงสรรเสริญพระจันทร์
หรือ
เพลงบุหลันลอยเลื่อน หรือเพลงบุหลัน(เลื่อน)ลอยฟ้า หรือ เพลงทรงพระสุบิน
เพราะเพลงนี้มีต้นกำเนิดจากพระสุบิน
ของพระองค์เอง โดยเล่ากันว่า หลังจากพระองค์ได้ทรงซอสามสายจนดึก ก็เสด็จเข้าที่บรรทมแล้วทรงพระสุบินว่า
ได้เสด็จไปยังดินแดนที่สวยงามดุจสวงสวรรค์ ณ ที่นั้น มีพระจันทร์อันกระจ่างได้ลอยมาใกล้พระองค์
พร้อมกับ
มีเสียงทิพยดนตรีอันไพเราะยิ่ง ประทับแน่นในพระราชหฤทัย ครั้นทรงตื่นจาบรรทมก็ยังทรงจำเพลงนั้นได้
จึงได้เรียก
พนักงาน ดนตรี มาแต่งเพลงนั้นไว้ และทรงอนุญาตให้นำออกเผยแผ่ ซึ่งเคย ใช้
เพลงทรงพระสุบินนี้เป็นเพลงสรรเสริญ
พระบารมีอีกด้วย
- ธงชาติ ประวัติความเป็นมาของธงชาติไทย
การใช้ธงช้าง เป็นธงชาติ
ในสมัยนี้สืบเนื่องมาจาก รัชกาลที่ 2 ได้โปรดให้สร้างสำเภาหลวงขึ้นเพื่อทำการค้ากับต่างประเทศ
ขณะนั้นชาวอังกฤษได้ตั้งสถานีการขึ้นที่สิงคโปร์ ได้แจ้งว่าเรือสินค้าที่เข้ามาค้าขายต่างก็ชักธงแดงทั้งหมดยากแก่การต้อนรับ
ขอให้ทางไทยเปลี่ยนการใช้ธงเสีย จะได้จักการับรองเรือหลวงของไทยให้สมพระเกียรติ
ขณะนั้นพระองค์ได้ช้างเผือกเข้ามาสู่พระบารมีถึง 3 ช้าง จึงโปรดให้ใช้ธงที่มีรูปช้างสีขาวอยู่ในวงจักรสีขาว
ไว้ตรงกลางผืนธงสีแดง เป็นธงประจำเรือในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าเป็นเรือของ
พระเจ้าช้างเผือก
ส่วนเรือของราษฎรยังคงใช้พื้นธงสีแดง
|