ประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่
2 ( พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ) ( พ.ศ. 2352-2367)
ด้านเศรษฐกิจ
สมัยรัชกาลที่ 2 บ้านเมืองว่างจากการศึกสงคราม จึงมีการค้าขายเจริญรุ่งเรืองกว่าแต่ก่อนกล่าวคือ มีการติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านมากมาย เช่น จีน อินเดีย มะละกา สิงคโปร์ ญวน และเขมร เป็นต้น สำหรับประเทศทางตะวันตก
ได้แก่ โปรตุเกส อังกฤษ อเมริกาโดยวิธีดำเนินการค้าขาย ของหลวงยังคงให้พระคลังสินค้าจัดการ ตามที่เคย ปฎิบัติมา มีเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นหัวแรง ในการแต่งสำเภาหลวงติดต่อค้าขายกับจีนและประเทศอื่น ๆ จนได้รับพระราชทานสมญาว่าเจ้าสัว
ในรัชการนี้มีเรือกำปันหลวงที่ใช้ในการค้าขายที่สำคัญ 2 ลำ คือ เรือมาลาพระนครและเรือเหราข้ามสมุทร สินค้าที่ผูกขาย ในสมัยนี้ ที่เป็นสินค้าขาออกมี 10 ชนิด คือ รังนก ฝาง ดีบุก พริกไทย เนื้อไม้ ผลเร่ว ตะกั่ว งาช้าง รงและช้าง สินค้า ที่ห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด คือ ข้าวเปลือกและข้าวสาร ส่วนสินค้าขาเข้าก็มี ปืนและดินปืน
การปรับปรุงภาษีอากร ลักษณะการเก็บภาษีอากรยังคงเหมือนสมัยรัชกาลที่1 มีการปรับปรุงเพิ่มเติมดังนี้
1 . การเดินสวน คือการแต่งเจ้าพนักงานออกไปสำรวจสวนของราษฎร ์ในการเก็บอากรสวนตามชนิดของ ผลไม้ ดังนี้
1.1 อากรสวนใหญ่ เป็นการเก็บภาษีจากผลไม้ยืนต้นชั้นดี มี 7 ชนิด ได้แก่
ทุเรียน มังคุด มะม่วง มะปราง ลางสาด หมากและพลูค้างทองหลาง
1.2 พลากร เป็นภาษีที่เก็บจากผลไม้ชั้นรอง มี 8 ชนิด ได้แก่
ขนุน สะท้อน เงาะ ส้ม มะไฟ ฝรั่ง สับปะรดและสาเก
1.3 อากรสมพัตสร เป็นภาษีที่เก็บจากผลไม้ล้มลุก เช่น กล้วย อ้อย เป็นต้น
2 . การเดินนา คล้ายกับการเดินสวน การเก็บอากรค่านา เรียกว่า หางข้าว โดยแบ่งนาออกเป็น 2 ประเภท คือ นาน้ำท่า และนางฟางลอย
2.1 นาน้ำท่า หรือ นาคู่โค หมายถึงนาที่สามารถปลูกข้าวได้หลายครั้งในหนึ่งปีโดยอาศัยน้ำฝนหรือน้ำท่า วิธีการเก็บภาษี หรือหางข้าว*ของนาประเภทนี้ เก็บด้วยวิธีดูคู่โคคือการนับโคหรือกระบือที่ใช้ไถนาโดยการคำนวณว่าโคหนึ่งคู่จะสามารถใช้ทำนาในผืนดินที่นานั้น ๆ ได้ปีละเท่าใดแล้วเอาเกณฑ์จำนวนโคขึ้นจั้งเป็นอัตราหางข้าวที่จะต้องเสียภาษี นาประเภทนี้จึงเรียกอีกนัยหนึ่งว่า "นาคู่โค" ฉะนั้นนาคู่โคนี้ราษฎรจะทำนาหรือไม่ก็ตามก็จะต้องเสียภาษี(หางข้าว)ตลอดไป เมื่อทางราชการ จัดพนักงานหรือข้าหลวงเดินนามาสำรวจแล้วรัฐบาลจะออกหนังสือให้เจ้าของที่นาถือไว้เป็นหลักฐานในการเรียกเก็บหางข้าวหรืออากร
ค่านาต่อไป หนังสือสัญญานี้เรียกว่า "ตราแดง"
2.2 นาฟางลอย หรือ นาดอน หมายถึงนาที่สามารถปลูกข้าวโดยอาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว เป็นนาในที่ดอนน้ำท่าขึ้นไม่ถึง วิธีเก็บภาษีหางข้าวสำหรับนาประเภทนี้เก็บจากนาที่สามารถปลูกข้าวได้จริง ถ้าปีใดไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียอากรค่านาและถือเอาตอฟางที่เก็บเกี่ยวแล้ว เป็นเกณฑ์ในการเก็บค่านา เมื่อทางราชการ จัดพนักงานหรือข้าหลวงเดินนา
มาสำรวจแล้ว รัฐบาลจะออกหนังสือให้เจ้าของที่นาถือไว้เป็นหลักฐานในการเรียกเก็บหางข้าวหรืออากรค่านาต่อไป หนังสือสัญญานี้
เรียกว่า "ใบจอง"
*หางข้าว หมายถึงภาษีหรืออากรค่านา
ที่รัฐบาลเก็บเป็นข้าวเปลือกในสมัยรัชกาลที่ 2 คิดอากรค่านาในอัตราไร่ละ
สองสัดครึ่ง
มาตรา
ตวงความจุไทย |
เทียบมาตราตวงความจุเมตริก-ไทย |
20
|
ทะนาน |
= |
1 |
ถัง |
50
|
ถัง |
= |
1 |
บั้น |
2 |
บั้น
|
= |
1 |
เกวียน |
100
|
ถัง |
= |
1 |
เกวียน |
|
1 |
ทะนาน |
= |
1
|
ลิตร |
1 |
บั้น |
= |
1 |
กิโลลิตร |
1 |
เกวียน |
= |
2 |
กิโลลิตร |
1 |
เกวียน |
= |
2000
|
ลิตร
|
|
1 สัด = 20 ลิตร |
เงินพดด้วงในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ตราแผ่นดินเป็นรูปจักรหกกลีบ
กลางจักร และ ระหว่างกลีบ มีจุดตราประจำรัชกาล
เป็นรูปครุฑ ซึ่งมีอยู่สองแบบ
คือ ครุฑอกยาวคล้ายครุฑ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
และครุฑอกสั้นลักษณะโดยทั่วไปของเงินพดด้วงเหมือนกับเงินที่ผลิตในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
|
|