พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้านั้นมีสองฝ่าย คือฝ่ายพระมารดาและฝ่ายบิดา ทั้งสองฝ่ายอยู่คนละเมือง มีแม่น้ำโรหิณีไหลผ่านเป็นเขตกั้นพรมแดนพระญาติวงศ์ฝ่ายมารดามีชื่อว่า โกลิยวงศ์ ครองเมืองเทวทหะ
พระญาติวงศ์ฝ่ายพระบิดาชื่อ ศากยวงศ์ ครองเมืองกบิลพัสดุ์ ทั้งสองนครนี้เกี่ยวดองเป็นพระญาติกัน มีความรักกันฉันพี่น้องร่วมสายโลหิต ต่างอภิเษกสมรสกันและกันเสมอมา ผู้ครองเมืองกบิลพัสดุ์ คือ พระเจ้าสุทโธทนะ ส่วนพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นกษัตริย์ผู้ครองเมืองเทวทหะ พระชายาของพระเจ้าสุปปพุทธะ มีพระนามว่าพระนางอมิตา เป็นกนิษฐภคินี คือ น้องสาวคนเล็กของพระเจ้าสุทโธทนะ กลับกันคือพระชายาของพระเจ้าสุทโธทนะ หรือพระมารดาของพระพุทธเจ้า มีพระนามว่าพระนางสิริมหามายา พระนางเป็นน้องสาวของพระเจ้าสุปปพุทธะ ทั้งสองทรงอภิเษกสมรสกับ พระภคินี ของกันและกัน พระเจ้าสุปปพุทธะมีโอรสและพระธิดาอันเกิดกับพระนางอมิตา สองพระองค์ พระโอรส คือ เทวทัต พระธิดา คือ พระนางยโสธราพิมพา
พระพระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชประสงค์ที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาสเป็นพระจักพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำราญ แวดล้อมด้วยความบันเทิงนานาประการแก่พระราชโอรสเพื่อผูกพระทัย ให้มั่นคงในทางโลก พระญาติวงศ์ทั้งสองฝ่ายทรงเห็นพร้อมกันว่า พระนางยโสธราพิมพาทรงพร้อมด้วยคุณสมบัติทุกอย่าง สมควรจะอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสิทธัตถะ พระราชพิธีอภิเษกสมรสจึงได้มีขึ้นเมื่อ เจ้าชายสิทธัตถะ เจริญพระชนม์ได้ 16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะ จึงโปรดให้สร้างปราสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น 3 หลัง สำหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำราญตามฤดูกาลทั้ง 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว แล้วตั้งชื่อปราสาทนั้นว่า รมยปราสาท สุรมยปราสาท และสุภปราสาท พร้อมสระบัวอีกสามสระ อุบลบัวขาบสระหนึ่ง ปทุมบัวหลวงสระหนึ่ง และบุณฑริกบัวขาวอีกสระหนึ่งตามลำดับ และทรงสู่ขอพระนางพิมพาหรือยโสธรา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะกับพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงค์ ให้อภิเษกด้วย เจ้าชายสิทธัตถะได้เสวยสุขสมบัติ จนพระชนมายุมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพายโสรธาจึงประสูติพระโอรส พระองค์มีพระราชหฤทัยสิเนหาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงการประสูติของพระโอรสพระองค์ตรัสว่า ราหุลัง ชาตัง พันธะนัง ชาตัง บ่วงเกิดแล้ว เครื่องผูกมัดเกิดแล้วเกิดแล้ว
แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
"
ห่วงเกิดขึ้นเสียแล้ว" คำที่แปลว่า "ห่วง" ในพระอุทานของเจ้าชายสิทธัตถะ คือ ราหุลัง หรือ ราหุล ต่อมาคำนี้ได้ถวายเป็นพระนามของราหุลกุมาร ที่เจ้าชายสิทธัตถะเปล่งอุทานขึ้นมาว่า "ห่วงเกิดขึ้นเสียแล้ว" นั้น หมายถึงว่า พระองค์กำลังตัดสินพระทัยจะเสด็จออกบวช กำลังจะตัดห่วงหาอาลัยในฆราวาสอย่างอื่น ก็เกิดมีห่วงใหม่ขึ้นมาผูกมัดเสียแล้ว
|