ดอกสร้อย
หน้าแรก
โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์
กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สารบัญ
Ram 6
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6
กลอนดอกสร้อย
วังเอ๋ยวังเวง
หง่างเหง่ง! ย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล
ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ
ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล
และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย.

ยามเอ๋ยยามนี้
ปถพีมืดมัวทั่วสถาน
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล
สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง
มีก็แต่เสียงจังหรีดกระกรีดกริ่ง!
เรไรหริ่ง! ร้องขรมระงมเสียง
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะแปะ ! เพียง
รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย.

นกเอ๋ยนกแสก
จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจันทร์
มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดู
คนมาสู่ซ่องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมา
ให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมัน เอย.

ต้นเอ๋ยต้นไทร
สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
และต้นโพธิ์พุ่มแจ้แผ่ฉายา
มีเนินหญ้าใต้ต้นเกลื่อนกล่นไป
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้
ดุษณีนอนราย ณ ภายใต้
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจ
เรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวัน เอย.


หมดเอ๋ยหมดห่วง
หมดดวงวิญญาณลาญสลาย
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบาย
เตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้น
ทั้งไก่ขันแข่งดุเหว่าระเร้าเสียง
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียง
พ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุก เอย.

ทอดเอ๋ยทอดทิ้ง
ยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า
ทิ้งเพื่อนยากแม่เหย้าหาข้าวปลา
ทุกเวลาเช้าเย็นเป็นนิรันดร์
ทิ้งทั้งหนูน้อยน้อยร่อยร่อยรับ
เห็นพ่อกลับปลื้มเปรมเกษมสันต์
เข้ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ
สารพันทอดทิ้งทุกสิ่ง เอย.

กองเอ๋ยกองข้าว
กองสูงราวโรงนายิ่งน่าใคร่
เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวใคร
ใครเล่าไถคราดพื้นฟื้นแผ่นดิน
เช้าก็ขับโคกระบือถือคันไถ
สำราญใจตามเขตประเทศถิ่น
ยึดหางยามยักไปตามใจจินต์
หางยามผินตามใจเพราะใคร เอย.

ตัวเอ๋ยตัวทะยาน
อย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน
ดูถูกกิจชาวนาสารพัน
และความครอบครองกันอันชื่นบาน
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด
มีปวัตติ์เป็นไปไม่วิตถาร
ขออย่าได้เย้ยเยาะพูดเราะราน
ดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตู เอย.

สกุลเอ๋ยสกุลสูง
ชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์
ความงามนำให้มีไมตรีกัน
ความร่ำรวยอวยสุขให้ทุกอย่าง
เหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้น
แต่ล้วนผันมาประจบหลุมศพ เอย.

ตัวเอ๋ยตัวหยิ่ง
เจ้าอย่าชิงติซากว่ายากไร้
เห็นจมดินน่าสลดระทดใจ
ที่ระลึกสิ่งไรก็ไม่มี
ไม่เหมือนอย่างบางศพญาติตบแต่ง
เครื่องแสดงเกียรติยศเลิศประเสริฐศรี
สร้างสานการบุญหนุนพลี
เป็นอนุสาวรีย์สง่า เอย.

ที่เอ๋ยที่ระลึก
ถึงอธึกงามลบในภพพื้น
ก็ไม่ชวนชีพที่ดับให้กลับคืน
เสียงชมชื่นเชิดชูคุณผู้ตาย
เสียงประกาศเกียรติเอิกเกริกลั่น
จะกระเทือนถึงกรรณนั้นอย่าหมาย
ล้วนเป็นคุณแก่ผู้ยังไม่วางวาย
ชูเกียรติญาติไปภายภาคหน้า เอย.

ร่างเอ๋ยร่างกาย
ยามตายจมพื้นดาษดื่นหลาม
อย่าดูถูกถิ่นนี้ว่าที่ทราม
อาจขึ้นชื่อลือนามในก่อนไกล
อาจจะเป็นเจดีย์มีพระศพ
แห่งจอมภพจักรพรรดิกษัตริย์ใหญ่
ประเสริฐด้วยสัตตรัตน์จรัสชัย
ณ สมัยก่อนกาลบุราณ เอย.

ความเอ๋ยความรู้
เป็นเครื่องชูชี้ทางสว่างไสว
หมดโอกาสที่จะชี้ต่อนี้ไป
ละห่วงใยอยากรู้ลงสู่ดิน
อันความยากหากให้ไร้ศึกษา
ย่นปัญญาความรู้อยู่แค่ถิ่น
หมดทุกข์ขลุกแต่กิจคิดหากิน
กระแสวิญญาณงันเพียงนั้น เอย.

ดวงเอ๋ยดวงมณี
มักจะลี้ลับอยู่ในภูผา
หรือใต้ท้องห้องสมุทรสุดสายตา
ก็เสื่อมซาสิ้นชมนิยมชน
บุปผชาติชูสีและมีกลิ่น
อยู่ในถิ่นที่ไกลเช่นไพรสณฑ์
ไม่มีใครได้เชยเลยสักคน
ย่อมบานหล่นเปล่าดายมากมาย เอย.

ซากเอ๋ยซากศพ
อาจเป็นซากนักรบผู้กล้าหาญ
เช่นชาวบ้านบางระจันขันรำบาญ
กับหมู่ม่านมาประทุษอยุธยา
ไม่เช่นนั้นท่านกวีเช่นศรีปราชญ์
นอนอนาถเล่ห์ใบ้ไร้ภาษา
หรือผู้กู้บ้านเมืองเรืองปัญญา
อาจจะมานอนจมถมดิน เอย.

คุณเอ๋ยคุณเหลือ
ผู้เอื้อเฟื้อเกื้อชาติซึ่งอาจหาญ
แน่วนับถือซื่อสัตย์ต่อรัฐบาล
ไม่เห็นการส่วนตัวไม่กลัวตาย
แสวงชอบกอบคุณอุดหนุนชาติ
กษัตริย์ศาสน์แม้ชีวิตปลิดวาย
ไว้ปวัตน์แก่ชาติญาตินิกาย
ได้อ่านภายหลังลือระบือ เอย.

ชาวเอ๋ยชาวนา
วาสนากั้นไว้ไม่วิตถาร
ไม่ชั่วล้นดีล้นพ้นประมาณ
สองประการนี้แหละขวางทางคระไล
คือไม่ลุยเลือนั่งบรรลังก์ราช
นำพินาศนรชนพ้นนิสัย
แต่ปิดทางกรุณาอันพาไป
ยังคุณใหญ่ยิ่งเลิศประเสริฐ เอย.

มักเอ๋ยมักใหญ่
ก่นแต่ใฝ่ฝันฟุ้งตามมุ่งหมาย
อำพรางความจริงใจไม่แพร่งพราย
ไม่ควรอายก็ต้องอายหมายปิดบัง
มุ่งแต่โปรยเครื่องปรุงจรุงกลิ่น
คือความฟูมฟายสินลิ้นโอหัง
ลงในเพลิงเกียรติศักดิ์ประจักษ์ดัง
เปลวเพลิงปลั่งหอมกลบตลบ เอย.

ศพเอ๋ยศพไพร่
ไม่มีใครขึ้นชื่อระบือขาน
ไม่เกรงใครนินทาว่าประจาน
ไม่มีการจารึกบันทึกคุณ
ถึงบางทีมีบ้างเป็นอย่างเลิศ
ก็ไม่ฉูดฉาดเชิดประเสริฐสุนทร์
พอเตือนใจได้บ้างในทางบุญ
เป็นเครื่องหนุนนำเหตุสังเวช เอย.

ศพเอ๋ยศพสูง
เป็นเครื่องจูงจิตให้เลื่อมใสศานต์
จารึกคำสำนวนชวนสักการ
ผิดกับฐานชาวนาคนสามัญ
ซึ่งอย่างดีก็มีกวีเถื่อน
จากรึกชื่อปีเดือนวันดับขันธ์
อุทิศสิ่งซึ่งสร้างตามทางธรรม์
ของผู้นั้นผู้นี้แก่ผี เอย.

ห่วงเอ๋ยห่วงอะไร
ไม่ยิ่งใหญ่เท่าห่วงดวงชีวิต
แม้คนลืมสิ่งใดได้สนิท
ก็ยังคิดขึ้นได้เมื่อใกล้ตาย
ใครจะยอมละทิ้งซึ่งสิ่งสุข
เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย
โดยไม่ชายตาใฝ่อาลัย เอย.

ดวงเอ๋ยดวงจิต
ลืมสนิทกิจการงานทั้งหลาย
ย่อมละชีพเคยสุขสนุกสบาย
เคยเสียดายเคยวิตกเคยปกครอง
ละทิ้งถิ่นที่สำราญเบิกบานจิต
ซึ่งเคยคิดใฝ่เฝ้าเป็นเจ้าของ
หมดวิตกหมดเสียดายหมดหมายปอง
ไม่ผินหลังเหลียวมองด้วยซ้ำ เอย.

ดวงเอ๋ยดวงวิญญาณ
เมื่อยามลาญละพรากไปจากขันธ์
ปองแต่ให้ญาติมิตรสนิทกัน
คล่าวน้ำตาต่างบรรณาการไป
ธรรมดาพาคะนึงไปถึงหลุม
หรือที่ชุมเพลิงเผาเฝ้าร้องไห้
คิดถึงกาลก่อนเก่ายิ่งเศร้าใจ
ตามวิสัยธรรมดาเกิดมา เอย.

ท่านเอ๋ยท่านสุภาพ
ผู้ใคร่ทราบสนใจศพไร้ศักดิ์
รู้เรื่องราวจากป้ายจดลายลักษณ์
บางทีจักรำพึงคิดถึงตน
มาม้วยมรณ์นอนคู้อยู่อย่างนี้
คงจะมีผู้สังเกตในเหตุผล
ปลงสังเวชวาบเสียวเหี่ยวกมล
เหมือนกับตนท่านบ้างกระมัง เอย.

บางเอ๋ยบางที
อาจจะมีผู้เฒ่าเล่าขยาย
รำพันความเป็นไปเมื่อใกล้ตาย
จนตราบวายชีวาตม์อนาถใจ
"อนิจจา! เห็นเขาเมื่อเช้าตรู่
ออกจากหมู่บ้านเดินสู่เนินใหญ่
ฝ่าน้ำค้างกลางนามุ่งคลาไคล
ผิงแดดในยามเช้าหน้าหนาว เอย.

"ต้นเอ๋ยต้นกร่าง
อยู่ที่ข้างเนินใหญ่พุ่มใบหนา
มีรากเขินเผินพ้นพสุธา
กลางวันเขาเคยมาผ่อนอารมณ์
นอนเหยียดหยัดดัดกายภายใต้ต้น
ฟังคำรนวารีมี่ขรม
กระแสชลไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกลม
เขาเคยชมลำธารสำราญ เอย.

"ป่าเอ๋ยป่าละเมาะ
ยังอยู่เยาะเย้ยให้ถัดไปนั่น
เขาเดินมาป่านี้ไม่กี่วัน
ปากรำพันจิตรำพึงคะนึงใน
บัดเดี๋ยวดูสลดระทดจิต
เหมือนสิ้นคิดขัดหาที่อาศัย
หรือคล้ายคนทุกข์ถมระทมใจ
หรือคู่รักร้างไม่อาลัย เอย.

ต่อเอ๋ยต่อมา
ณ เวลาวันใหม่มิได้เห็น
ทั้งกลางนากลางเนินเผอิญเป็น
ใต้ต้นกร่างว่างเว้นเช่นเมื่อวาน
เห็นคนหนึ่งเดินไปใจว่าเขา
แต่ไม่เข้ากลางนามาสถาน
ที่เขาเคยพักผ่อนแต่ก่อนกาล
ทั้งไม่ผ่านป่าเล่าผิดเขา เอย.

ถัดเอ๋ยถัดมา
เห็นเขาพาศพไปใจสลด
เสียงประโคมครื้นครั่นน่ารันทด
ญาติทั้งหมดตามมาโศกาลัย
ทำการศพตบแต่งที่ระลึก
มีบันทึกถ้อยคำประจำไว้
อยู่ที่ดงหนามนั้นถัดนั่นไป
ความอย่างไรเชิญท่านไปอ่าน เอย.

คำจารึก
"ที่เอ๋ยที่นี้
อนุสาวรีย์ศรีสถาน
แห่งชายไม่ประจักษ์ศักดิ์ศฤงคาร
แม้สกุลคุณสารต่ำปานไร
ขอจงอย่าขึ้งเครียดรังเกียจเขา
ขอจงเคารพงามตามวิสัย
มัจจุราชรับพาเขาคลาไคล
ทิ้งร่างไว้ทวงเคารพผู้พบ เอย.

น้ำเอ๋ยน้ำใจ
ซึ่งเนาในร่างกายผู้ตายนี้
ล้วนสุภาพผ่องใสด้วยไมตรี
อีกโอบอ้อมอารีมีในคน
คุณนี้นำชำร่วยอวยสนอง
บำเหน็จมองมูนมากวิบากผล
คือห่วงใยยั่วหยัดอัสสุชล
จากฝูงคนผู้ใฝ่อาลัย เอย.

แต่เอ๋ยแต่นี้
เป็นหมดที่ใฝ่จิตริษยา
เป็นหมดที่อุปถัมภ์คิดนำพา
เป็นนับว่า "อโหสิกรรม" กัน
เขาจะมีดีชั่วติดตัวไป
เป็นวิสัยกรรมแต่งและแสร้งสรร
เรารู้ได้แต่ปวัตน์ปัจจุบัน
ซึ่งทิ้งอยู่คู่กันกับนาม เอย.

 พระยาอนุมานราชธน ( ยง เสถียรโกเศศ พ.ศ. 2431 – พ.ศ. 2512 )ช่วย
พระยาอุปกิตศิลปะสาร แต่ง บทดอกสร้อยเรื่อง รำพึงในป่าช้า


Copyright By : Chalengsak Chuaorrawan Sainampeung School
186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand
e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com
Tel; 089-200-7752 mobile