หน้าแรก
โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์
กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สารบัญ
โยนิโสมนสิการ

วิธีคิดแบบแยกแยะประเด็นหรือคิดแบบวิภัชชวาท

  1. การคิดแบบแยกแยะประเด็น หรือ วิธีคิดแบบวิภัชชวาท
    คำว่า  "วิภัชชวาท"   มาจาก   วิภัชชะ  + วาทะ
    วิภัชชะ   แปลว่า  แยกแยะ  แบ่งออก  จำแนก หรือ แจกแจง ใกล้เคียงกับคำว่า  วิเคราะห์  
    ส่วนคำว่า วาทะ   แปลว่า   การกล่าว  การพูด การแสดงคำสอน ดังนั้นคำว่า  วิภัชชวาท  จึงแปลว่า  การพูดแยกแยะ การพูดจำแนก  การพูดแจกแจง หรือ  การพูดเชิงวิเคราะห์ ลักษณะสำคัญของการคิดและการพูดแบบนี้คือ การมองและแสดงความจริง โดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแง่แต่ละมุมแต่ละด้านแต่ละประเด็นครบทุกแง่ทุกมุม ทุกด้าน ทุกประเด็น ไม่ใช่จับเอาประเด็นใดประเด็นหนึ่งมาคิดวิเคราะห์แล้วสรุปครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด
              วิธีคิดแบบวิภัชชวาทเป็นภาษาบาลีที่มีอยู่ในศาสนาพุทธ จัดเป็นวิธีคิดเชิงวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผลรองรับ สามารถแยกแยะและวิเคราะห์ แตกประเด็นตลอดจนสังเคราะห์ความรู้ทุกชนิดได้ โดยเฉพาะความรู้สากล บุคคลใดที่สามารถจับหลักการทั้งหมดของวิธีคิดชนิดนี้ได้ จะสามารถสร้างองค์ความรู้ที่เป็นสมมติสัจจะได้โดยง่าย
    ส่วนประกอบที่สำคัญของวิธีคิดแบบวิภัชชวาทะแบ่งเป็น 5 ส่วน ดังนี้
    1. ระบบ
    2. องค์ประกอบ
    3. เหตุปัจจัย
    4. เงื่อนไข
    5. เวลา
    ระบบ หมายถึง  การระบุ  บ่งบอกถึง สิ่งที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตได้ เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์  เหตุการณ์ หรือ สถานการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้น
    องค์ประกอบ หรือ ธาตุ element หมายถึง การที่ธาตุหรือสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายที่มาประชุมรวมกันในระบบ เป็นตัวแทนของหน่วยย่อยในระบบนั้น ๆ
    เหตุปัจจัย หมายถึง เหตุปัจจัยที่ต้องมารวมกันเป็นระบบนั้นๆ  (ทำไมต้องมีระบบนั้น ๆ เกิดขึ้น หรือมาประชุมกัน หรือความต้องการให้เกิดผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร) สิ่งนี้เป็น เหตุ  ซึ่งเกิดจากธาตุแต่ละชนิดก่อกำเนิดมาได้อย่างไร สิ่งนี้เป็น  ปัจจัย
    เงื่อนไข หมายถึง แนวทางในการพรรณนาคุณสมบัติของระบบ หรือปรากฏการณ์ หรือสภาวะใดๆ  ที่จะทำให้องค์ประกอบทำงานได้ตามหน้าที่ได้ถูกต้อง
    เวลา หมายถึง เครื่องบ่งชี้ความเปลี่ยนแปลงของระบบสิ่งต่าง ๆ ที่มีมิติของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง มีจุดเริ่มต้น การสิ้นสุด คิดเป็น ระยะเวลา (... วินาที  นาที  ชั่วโมง วัน เดือน ปี ทศวรรษ ... ) มีความเร็วเข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออัตราเร็ว (การเปลี่ยนแปลง : นาที  หรือ ระยะทาง : ระยะเวลา หรือ จุดเริ่มต้นไปถึงจุดสิ้นสุด : ระยะเวลา)

ตัวอย่าง วิธีการคิดแบบวิภัชชวาท  หรือ การคิดแบบแยกแยะประเด็น
                                      เด็กหญิงสมศรี  มากมีทรัพย์   รับประทานก๋วยเตี๋ยวหมูเป็นอาหารกลางวัน

ระบบ

ก๋วยเตี๋ยวหมู 1 ชาม

องค์ประกอบ

ภาชนะที่ใส่ (ชาม) เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อหมู ผักต่าง ๆ(ถั่วงอก ผักชี ต้นหอม...) น้ำ สีสันรสชาดของก๋วยเตี๋ยวน้ำ  อุณหภูมิของน้ำซุบ เครื่งปรุงรส (น้ำปลา น้ำส้ม พริกป่น น้ำตาล)

เหตุปัจจัย

อยากรับประทานเพื่อบำบัดความหิว  การทำก๋วยเตี๋ยวหมู  การรับประทานเพื่อสังสรรค์

เงื่อนไข

สมศรีต้องการรับประทานก๋วยเตี๋ยวหมู ต้องมีอุปกรณ์ใช้ประกอบการรับประทานก๋วยเตี๋ยวหมู(ชาม,ช้อน,ตะเกียบ ฯลฯ)

เวลา

ขณะทำการ (เช้า  สาย  เที่ยง บ่าย  เย็น  ค่ำ  ดึก) ในที่นี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ใช้เวลาในแต่ละขั้นตอน (เงื่อนไข) นานเท่าใด เริ่มต้นเมื่อใด สิ้นสุดเมื่อใด  รวมเวลาตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนการนานเท่าใด อุณหภูมิของก๋วยเตี๋ยวหมูชามนี้เปลี่ยนแปลงจากร้อน ค่อย ๆ หายร้อน ใช้เวลานานเท่าใด  รสชาดอร่อยแซบจนหมดชาม ใช้เวลานานเท่าใด

         2.   การคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย  (อิทัปปัจจยตา)
การได้มาซึ่ง “องค์ประกอบ”  ตามขั้นตอนวิภัชชวาท มีการอิงอาศัยกันอย่างไร
         สิ่งที่มาประชุมกันเป็นก๋วยเตี๋ยวหมู การทำก๋วยเตี๋ยวหมู การผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยว ภาชนะ (ชาม ช้อน ตะเกียบ ฯลฯ) น้ำ ผัก เครื่องปรุงรส กว่าจะได้ก๋วยเตี๋ยวหมู หนึ่งชามคงไม่ใช่ แม่ค้าไปซื้อก๋วยเตี๋ยว จากตลาดแล้วนำมาปรุงขาย ต้องพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร กว่าจะมาเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือส่วนประกอบอื่น ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร จากนั้นจึงมาพิจารณา การรับประทาน ก๋วยเตี๋ยวหมู ของเด็กหญิงสมศรี  มากมีทรัพย์ ตามเหตุปัจจัย
         ในที่นี้ขอคิดตาม
หลักปฏิจจสมุปบาท  (พิจารณาจากคนรับประทานก๋วยเตี๋ยวหมูเป็นแกนกลาง)

สายทุกข์

สายดับทุกข์

อวิชชา

การไม่เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง ไม่รู้ว่าแท้จริงคือ ธาตุ 4 (ก๋วยเตี๋ยวหมู) ซึ่งเป็นรูป

นิพพาน

สังขาร

การปรุงแต่ง การจงใจ การตัดสินใจ ปรุงแต่งไปตามข้อมูลที่ได้รับและประสบการณ์

ขยญาณ

วิญญาณ การได้ยิน โสตวิญญาณ  การได้เห็น จักขุวิญญาณ  การได้กลิ่น ฆานวิญญาณ การได้รู้รส ชิวหาวิญญาณ  การได้รู้สัมผัส กายวิญญาณ การได้รู้นึกคิดที่มีอยู่ในใจ มโนวิญญาณ

วิมุติ

นามรูป

ร่างกายและจิตใจที่สนองตอบต่อวิญญาณ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างอายตนะภายนอกและภายใน

วิราคะ

สฬายตนะ

อายตนะภายในทั้ง 6 (หู  ตา  จมูก ลิ้น กาย ใจ)

นิพพิทา
ผัสสะ

การเชื่อหรือการรับรู้ภายนอก ฟังโฆษณา สีรูปทรง  กลิ่นชวนรับประทาน ลิ้มรส  ความร้อน  จินตนาการ

ยถาภูตญาณทัสสนะ
รู้เห็นตามความเป็นจริง

เวทนา

ความชอบ ไม่ชอบหรือเฉยๆ อร่อย  เย็น ร้อน  หอม  หวาน ชื่นใจ ถูกใจ

สมาธิ

ตัณหา

ความทยานอยาก อยากรับประทาน  ไม่อยากรับประทาน

สุข

อุปาทาน

ความยึดมั่นถือมั่น การติดในรสชาด กำหนดสมมติบัญญัติว่าเป็น “ก๋วยเตี๋ยวหมู”

ปัสสัทธิ

ภพ

ภาวะที่พร้อมที่จะเกิด สร้างโลกมายาของการเสพ การรับประทาน

ปีติ

ชาติ

การเกิด รับประทานก๋วยเตี๋ยวเป็นกิจวัตร

ปราโมท

ชรา มรณะ

ความแก่และความตาย พอใจเมื่อได้รับประทาน หงุดหงิดเมื่อไม่มีจะรับประทานยามหิว โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็ตามมา สิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดอวิชาเป็นวงจรไม่รู้จบ

สัทธา

3.    การคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ  (อนัตตา) ยึดหลัก นามรูป (นามขันธ์ รูปขันธ์) สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน ไม่มีอัตตา ไม่มีเขา ไม่มีเรา อนัตตาหรือ อนัตตตา เป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาวะธรรมมีอยู่จริงในขันธ์ 5  เพราะมีอนัตตลักษณะดังนี้
       1. เป็นสภาพว่างเปล่า คือหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ เพราะประกอบด้วยธาตุ 4 เมื่อแยกธาตุออก สภาวะที่แท้จริงก็ไม่มี
       2. หาเจ้าของมิได้ คือไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง สงวนรักษามิให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้
       3. ไม่อยู่ในอำนาจ คือไม่อยู่ในบัญชาของใคร ใครบังคับไม่ได้ เช่นบังคับมิให้แก่ไม่ได้
       4. แย้งต่ออัตตา คือตรงข้ามกับอัตตา ตัวตน ของตน
เมื่อนำมาพิจารณาคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบโดยยึดหลักอนัตตา จะได้ดังนี้

นามรูป  ไม่ใช่ พืช สัตว์ บุคคล เขา เรา 
ขันธ์ 5  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ
เพื่อมุ่งเข้าสู่การพิจารณาในสิ่งที่ไม่สามารถบังคับควบคุมได้ในที่สุด
ความร้อนในที่สุดจะหายไป  (ถ้าตั้งทิ้งไว้นานพอ)
การเกิดกิจกรรมการรับประทานก๋วยเตี๋ยวจะยุติลง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
ก๋วยเตี๋ยวหมูในที่สุดจะถูกรับประทานเพื่อดับความหิว
ก๋วยเตี๋ยวหมูในที่สุดจะถูกแปรสภาพกลับไปสู่สภาพเดิม(ธาตุ)

  4.    การคิดแบบสามัญลักษณ์  (ไตรลักษณ์)

อนิจจัง   เห็นการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมและสภาวะของก๋วยเตี๋ยวหมู รวมทั้งสภาวะจิตของผู้รับประทาน
ทุกขัง  การตั้งอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ (อย่างถาวร)
ก๋วยเตี๋ยวหมูเคลื่อนจากในภาชนะ(ชาม)เข้าสู่ร่างกายผู้รับประทานจนถึง    การย่อยแร่ธาตุต่าง ๆ กลายเป็นของเสียถูกขับออกจากร่างกาย
อนัตตา  บังคับให้สภาวะต่าง ๆ คงที่ไม่ได้ จะเห็นชัดที่สุดเมื่ออยู่ในกระเพาะอาหาร แล้วถูกขับถ่ายออกมา

5.    การคิดแบบแบบอรรถสัมพันธ์

ธรรม (หลักการ) อรรถประโยชน์  (ความมุ่งหมาย)
รับประทานก๋วยเตี๋ยว(เสพปัจจัย 4) ดับความหิว
มัชฌิมาปฏิปทา         รับประทานพอดี  (เพื่อดับความาหิว เสริมสร้าง-ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ)

6.    การคิดแบบเห็นคุณโทษและทางออก
เน้นการยอมรับความเป็นจริงทั้งด้านดีและด้านเสีย

ข้อดี
ข้อเสีย
ทางออก

ดับความหิว

รับประทานมากเกินไปเกิดโทษแก่ร่างกาย (อ้วน)

รับประทานน้อยลง

ซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย

รับประทานน้อยเกินไปเกิดโทษแก่ร่างกาย (ผอม)

รับประทานเพิ่มขึ้น

หล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย

สารอาหารบางอย่างสะสมมากเกินไป

รับประทานบางโอกาส

คุณค่าทางโภชนาการ

สิ้นเปลืองเงินทอง

งดเว้นหรือรับประทานอย่างอื่นแทน

7.    การคิดแบบคุณค่าแท้คุณค่าเทียม

คุณค่าแท้
คุณค่าเทียม
ดับความหิว ร้านอาหารหรู ราคาแพงเกินความจำเป็น
มีประโยชน์ทางด้านโภชนาการ(แร่ธาตุ) รสนิยมสูง บรรยากาศดี ภาชนะที่ใส่ก๋วยเตี๋ยวสวยราคาแพง
รสชาด  สี  กลิ่น  ไม่จำเป็นต่อร่างกาย

8.    การคิดแบบเร้าคุณธรรม
พิจารณาตามคุณค่าแท้คุณค่าเทียม (เน้นด้านบวก)
ช่วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ช่วยให้คนมีอาชีพสุจริตในขั้นตอนการผลิตและจำหน่าย (เชื่อมโยงกับการอิงอาศัย)
เพิ่มทางเลือกและความสะดวกในการบริโภคอาหาร

9.    การคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน
ใช้หลักธรรมสติปัฎฐาน  4 เป็นหลักธรรมที่อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นข้อปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง คือเข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ
สติปัฏฐาน 4 หมายถึง การตั้งมั่น ความแน่วแน่ ความมุ่งมั่นโดยรวมคือเข้าไปรู้เห็นในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ตามมุ่งมองของไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ โดยไม่มีความยึดติดด้วยอำนาจกิเลสทั้งปวง ได้แก่

  1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่งกายในที่นี่หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็น รูปธรรมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
  2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน ไม่มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังทุกข์ หรือเรากำลังสุข หรือเราเฉยๆ แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
  3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน เป็นการนำจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือรู้จิตก็ได้ ไม่มองจิตด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังคิด เรากำลังโกรธ หรือเรากำลังเหม่อลอย แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ จิตล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
  4. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง  การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
           เมื่อนำการคิแบบอยู่กับปัจจุบันโดยใช้ สติปัฏฐานมี 4 ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม
    มาพิจารณาเด็กหญิงสมศรี  มากมีทรัพย์ รับประทานก๋วยเตี๋ยวหมูเป็นอาหารกลางวัน จะได้ดังนี้
กาย รู้ว่ากำลังทำอะไร  (ทุก ๆ อิริยาบถ แต่ในที่นี้  action เน้นการรับประทานเป็นหลัก)
เวทนา เกิดความรู้สึกอย่างไร (สุข  ทุกข์  เฉย ๆ) sensation
จิต อารมณ์เป็นอย่างไร  อกุศลมูล(โลภะ  โทสะ  โมหะ) emotion
ธรรม เห็นสภาวะอะไรบ้าง (ไตรลักษณ์ อริยสัจ 4 เน้น intuitionอนิจจัง วิราคะ นิโรธะ และปฏินิสสัคคะ)

10.    การคิดแบบอริยสัจ 4

ทุกข์  หิว  อยากอยากรับประทาน  ท้องร้อง  ปวดท้อง
สมุทัย   ร่างกายต้องการอาหาร
นิโรธ ต้องการรับประทานอาหาร(แต่เลือกรับประทานก๋วยเตี๋ยวแทน) อย่างพอเพียง
มรรค    รับประทานอาหาร(ก๋วยเตี๋ยวหมู) แบบอิงมรรคแปด (พยายามเน้นทางโลกก่อนทางธรรม )
1
สัมมาทิฎฐิ  
ความเข้าใจที่ถูกต้องในการรับประทานก๋วยเตี๋ยวเพื่อ ดับความหิว
2
สัมมาสังกับปะ  
ไม่รับประทานเพราะความอยากของลิ้นติดในรสชาด  ไม่เบียดเบียนเศรษฐกิจ ตนเอง และผู้อื่น ถ้าไม่ได้รับประทานก๋วยเตี๋ยว ณ เวลานั้นไม่เกิดความทุรนทุราย ไม่คับแค้นใจ คิดในทางที่ดี
3
สัมมาวาจา 
ใช้วาจาสุภาพขณะทุกขั้นตอน (ถ้าจำเป็นต้องใช้)
4
สัมมากัมมันตะ
ประกอบกิจกรรมด้วยลักษณะที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
5
สัมมาอาชีวะ 
การประกอบอาชีพที่สุจริตเพื่อนำรายได้มาแลกกับก๋วยเตี๋ยว
6
สัมมาวายามะ  
ความเพียรพยายามที่ได้จะก๋วยเตี๋ยวมาเป็นอาหาร
7
สัมมาสติ
รับประทานและประกอบกิจกรรมอย่างมีสติ ระลึกรู้อิริยาบถหรือเมื่อเกิดผัสสะทั้งหก
8
สัมมาสมาธิ 
ไม่วอกแวกขณะ ประกอบกิจกรรม รับประทานก๋วยเตี๋ยวหมู

Copyright By : Chalengsak Chuaorrawan Sainampeung School
186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand
e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com
Tel; 089-200-7752 mobile
http://www.sainampeung.ac.th