Europe_8_history
หน้าแรก
โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ฯ
กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สารบัญ
ประวัติศาสตร์
history

ดอริก

ไอโอนิก

โครินเธียน

ศิลปะโกธิค (Gothic)
หัวเสาเป็นอารยธรรมของกรีกโบราณ 3 แบบ
ศิลปะโกธิค
เริ่มต้นขึ้นปลายพุทธศตวรรษที่ 17 มีอิทธิพลอยู่ประมาณ 350 ป
วิหารพาร์เธนอน(parthenon)
โคลอสเซียม(Colosseum)

ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรป
        ทวีปยุโรปเป็นดินแดนที่เคยเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ความเจริญต่อเนื่องกันมาเป็นเวลา
กว่า 2000 ปี มาแล้วมีหลักฐานปรากฎอย่างชัดเจนว่า ความเจริญของทวีปยุโรปทีรากฐานกำเนิดจากอารายธรรมไมโนน (Minoan Civilization) ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ เกาะครีต (Crete) ตอนใต้ของคาบสมุทรบอลข่านในทะลเมดิเตอร์เรเนียน อารยธรรมไมโนนเป็นอารยธรรมที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างอารยธรรมโบราณ 2 แห่ง คือ อารยธรรมอียิปต์ (ลุ่มแม่น้ำไนล์)และอารยธรรมเมโสโปเตเมีย (ลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรติส) จนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง และต่อมาได้แผ่ขยายไปยังดินแดนต่าง ๆ ในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะคาบสมุทรบอลข่านและคาบสมุทรอิตาลี          จึงนับว่าชนชาติกรีกและชนชาติโรมันมีส่วนสำคัญที่สุดในการวางรากฐานความเจริญในยุโรปชนชาติกรีก เป็นพวกอินโดยูโรเปียน มีถิ่นฐานเดิมอยู่แถบแม่น้ำดานูบ ในเขตประเทศออสเตรียในปัจจุบัน ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน
ในบริเวณคาบสมุทรบอลข่านเมื่อประมาณ 2000 ปี ก่อนคริสต์กาล กรีกเป็นชนชาติแรกที่ได้รับถ่ายทอดความเจริญ
ของอารยธรรมไมโนนไปจากเกาะครีต และหลังจากนั้นชนชาติโรมันซึ่งตั้งถิ่นฐานในบริเวณคาบสมุทรอิตาลีก็ได้รับความเจริญ
ไปจากชนชาติกรีกอีกทอดหนึ่ง  กรีกได้ทิ้งมรดกทางศิลปะวัฒนธรรมอันทีค่าหลายประการไว้แก่โลกตะวันตก
เพราะกรีกเป็นนักคิดและนักสร้างสรรค์ที่สำคัญผลงานที่เด่นๆ ได้แก่ สถาปัตยกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ปรัชญา และที่สำคัญที่สุด คือ การปกครองระบอบประชาธิบไตยที่นับว่าเป็นการวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย แก่ประเทศต่างๆในปัจจุบัน ส่วน ชนชาติโรมัน นั้น แม้ว่าจะรับความเจริญต่างๆทางศิลปวัฒนธรรมมาจากกรีก แต่ก็รู้จักที่จะนำมาประยุกต์ดัดแปลงให้เกิดประโยชน์ ทางด้านการใช้สอยให้คุ้มค่าโดยเฉพาะการวางผังเมืองการวางท่อลำเลียงน้ำ ที่อาบน้ำสาธารณะ


          ผลงานทางศิลปะต่าง ๆ ที่สำคัญที่สุดคือ กฎหมายโรมัน ซึ่งเป็นรากฐานของการร่างกฎหมายประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป โรมันเป็นชนชาติที่มีความสามารถกล้าหาญ ได้ขยายอำนาจครอบครองดินแดนกรีก และดินแดนของชนชาติอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง จนทำให้อาณาจักรโรมันกลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมีอาณาเขตครอบคลุมเกือบทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป โดยมีอาณาเขตตั้งแต่ตะวันตกของทวีปยุโรปคาบสมุทรอิตาลี คาบสมุทรบอลข่าน ดินแดนชายฝั่งตะวันออก ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตลอดไปจนถึงบริเวณตอนเหนือของทวีปแอฟริกา จักรวรรดิโรมัน เป็นศูนย์กลางความเจริญ ของทวีปยุโรปอยู่ประมาณ 300 ปี ภายหลังที่มีการแบ่งแยกจักรวรรดิออกเป็นจักรวรรดิโรมันตะวันตก โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงโรม และจักรวรรดิโรมันตะวันออก มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 แล้ว จักรวรรดิโรมันตะวันตกได้เริ่มเสื่อมลงตามลำดับ และในที่สุดได้ถูกพวกอนารยชนเยอรมันเผ่าติวตันเข้ารุกรานและยึดครองใน ค.ศ.476 ซึ่งมีผลทำให้ความเจริญต่าง ๆ ทางศิลปวัฒนธรรมหยุดชะงักลง
          สภาพทางสังคมของจักรวรรดิโรมันตะวันตกภายหลังการุกรานของอนารยชน เต็มไปด้วยความวุ่นวาย สับสน บ้านเมืองระส่ำระสายไปทั่ว มีศึกสงครามติดต่อกันเกือบตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้ความก้าวหน้าทางศิลปวิทยาการของกรีก-โรมัน ต้องหยุดชะงักลง และทำให้ทวีปยุโรปตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า ยุคมืด Dark Ages ซึ่งอยู่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5-10 ในระหว่างนั้นคริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวยุโรป เพราะเป็นระยะเวลาที่ประชาชน
กำลังแสวงหาที่พึ่งทางใจ วัดและสันตะปาปา คือศูนย์รวมแห่งจิตใจของประชาชน คริสต์ศาสนาจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะนั้นอิทธิพลทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ชาวตะวันตกต่างพากันยอมรับ ในความยิ่งใหญ่ และอำนาจของพระเจ้าในการดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้น    จนทำให้เกิดความกลัวที่จะคิดหรือกระทำการใด ๆ ที่นอกเหนือไปจากกฎเกณฑ์ที่ทางศาสนาได้กำหนดไว้
          อย่างไรก็ตามในระยะคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงสภาพทางสังคม
ของยุโรปไปในทางที่ดี คือ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือ เรอเนสซองส์ Renaissance ซึ่งทำให้มีการฟื้นฟูศิลปวิทยาการกรีก-โรมัน ที่หยุดชะงักไปตั้งแต่ยุคมืดขึ้นมาใหม่และยังส่งผลต่อเนื่งไปสู่การริเริ่มแนวคิด เริ่มมองทุกอย่างในลักษณะของเหตุผล รู้จักใช้สติปัญญาตน   พิจารณาแทนความเชื่องมงายอย่างไร้เหตุผลดังที่เคยปฏิบัติมาในยุคมืด เริ่มมีความคิดว่ามนุษย์สามารถ
ที่จะพัฒนาตนเองได้สามารถปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ด้วยความสามารถตนเอง   สมัยเรอเนสซองส์จึงเป็นสมัยที่ก้าวไปสู่
ความเจริญอย่างไม่หยุดยั้งของโลกตะวันตกในระยะต่อมา     ซึ่งขณะนั้นศูนย์กลางความเจริญของทวีปยุโรปได้ย้ายมาอยู่ ในบริเวณประเทศต่าง ๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในบริเวณยุโรปตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เป็นต้น นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ทวีปยุโรปจึงก้าวเข้าสู่สภาพสังคมแบบสมัยใหม่ ที่สะท้อนให้เห็นการพัฒนา ในด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ อันนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวยุโรป เป็นอย่างมาก อาทิ การปฏิวัติศาสนาที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยนักบวชชาวเยอรมนี มาร์ติน ลูเธอร์ Martin Luthur ค.ศ.1483-1546 ทำให้มีการก่อตั้งนิกายโปรเตสแตนท์ ซึ่งแสดงให้เห็นความกล้าหาญ ในการแสดงออกซึ่งการต่อต้านคัดค้านนิกายดั้งเดิม คือ โรมันคาทอลิก ที่เคยมีอิทธิพลอย่างมากมาก่อน นอกจากนี้ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 มีผลทำให้มนุษย์เริ่มค้นคว้าหาความจริงจากธรรมชาติ มีการพิสูจน์ว่าโลกกลม ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาล ซึ่งมีผลต่อการริเริ่มสำรวจทางทะเล และการแสวงหาอาณานิคมกันอย่างกว้างขวาง
       ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 และทำให้วัฒนธรรมตะวันตกได้แผ่ขยายไปยังดินแดนอาณานิคมต่างๆทั้งในทวีปเอเชีย
ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ รวมทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นระยะที่อิทธิพลของยุโรป
ทางด้านศิลปวัฒนธรรมได้แผ่ขยายตัวไปทั่วโลก
        การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษก่อนและต่อมาได้แผ่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก ก็นับว่าเป็นผลมาจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่ความก้าวหน้า ทางด้านเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง และส่งผลกระทบทำให้ทวีปยุโรปเป็นดินแดนที่นำหน้าทวีปอื่นๆ  ทั้งทางด้านอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีมาจนถึงปัจจุบัน
 Copyright By : Chalengsak Chuaorrawan Sainampeung School
186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Klongtoei Klongtoei Thailand
e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com
Tel; 089-200-7752 mobile