คำว่า ปวารณา
หมายถึง
1. ยอมให้ขอ,
เปิดโอกาสให้
2. ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน,
เปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือน
3. สังฆกรรมที่พระสงฆ์ทำในวันสุดท้ายแห่งการจำพรรษา
คือ ในวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 11 เรียกว่า วันมหาปวารณา โดยพระภิกษุทุกรูปจะกล่าวปวารณา คือ เปิดโอกาสให้กันและกันว่ากล่าวตักเตือน
เป็นภาษาบาลีดังนี้
สงฺฆมฺภนฺเต ปวาเรมิ, ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา; วทนฺตุ มํ, อายสฺมนฺโต
อนุกมฺปํ อุปาทาย; ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ. ทุติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรมิ,.....
ตติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรมิ
แปลวว่า ข้าพเจ้าขอ ปวารณากะสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ตาม ด้วยได้ยินก็ตาม ด้วยน่าระแวงสงสัยก็ตาม,
ขอท่านผู้มีอายุทั้งหลายจงว่ากล่าวกะข้าพเจ้าด้วยอาศัยความหวังดี, เอ็นดู,
เมื่อข้าพเจ้ามองเห็น จักแก้ไขแม้ครั้งที่สอง ........ แม้ครั้งที่สาม.......
(ภิกษุผู้มีพรรษาสูงสุดในที่ประชุมว่า อาวุโส แทน ภนฺเต)
ปวารณาเป็นสังฆกรรมประเภทญัตติกรรม คือ ทำโดยตั้งญัตติ (คำเผดียงสงฆ์)
อย่างเดียว ไม่ต้องสวดอนุสานา (คำขอมติ); เป็นกรรมที่ต้องทำโดยสงฆ์ปัญจวรรค
คือ มีภิกษุตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป
ปวารณา ถ้าเรียกชื่อตามวันที่ทำแบ่งได้เป็น 3 อย่าง คือ
1. ปัณณรสิกาปวารณา (ปวารณาที่ทำโดยปกติในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 คือวันออกพรรษา)
2. จาตุททสิกาปวารณา (ในกรณีที่มีเหตุสมควร ท่านอนุญาตให้เลื่อนปวารณาออกไปปักษ์หนึ่งหรือเดือนหนึ่งโดยประกาศให้สงฆ์ทราบ
ถ้าเลื่อนออกไปปักษ์หนึ่งก็ตกในแรม 14 ค่ำ เป็นจาตุททสิกา แต่ถ้าเลื่อนไปเดือนหนึ่งก็เป็นปัณณรสิกาอย่างข้อแรก)
3. สามัคคีปวารณา (ปวารณาที่ทำในวันสามัคคี คือ ในวันที่สงฆ์ซึ่งแตกกันแล้ว
กลับปรองดองเข้ากันได้ อันเป็นกรณีพิเศษ)
ถ้าแบ่งโดยการก คือ ผู้ทำปวารณาแบ่งเป็น 3 อย่าง คือ
1. สังฆปวารณา (ปวารณาที่ทำโดยสงฆ์คือมีภิกษุ 5 รูปขึ้นไป)
2. คณปวารณา (ปวารณาที่ทำโดยคณะคือมีภิกษุ 2-4 รูป)
3. ปุคคลปวารณา (ปวารณาที่ทำโดยบุคคลคือมีภิกษุรูปเดียว) และ โดยนัยนี้
อาการที่ทำปวารณาจึงมี 3 อย่าง คือ
1. ปวารณาต่อที่ชุมนุม (ได้แก่ สังฆปวารณา)
2. ปวารณากันเอง (ได้แก่ คณปวารณา)
3. อธิษฐานใจ (ได้แก่ ปุคคลปวารณา)
ในการทำสังฆปวารณา ต้องตั้งญัตติคือ ประกาศแก่สงฆ์ก่อน แล้วภิกษุทั้งหลายจึงจะกล่าวคำปวารณาอย่างที่แสดงไว้ข้างต้น
ตามธรรมเนียมท่านให้ปวารณารูปละ 3 หน แต่ถ้ามีอันตรายคือเหตุฉุกเฉินขัดข้องจะทำอย่างนั้นไม่ได้ตลอด
(เช่น แม้แต่ทายกมาทำบุญ) จะปวารณารูปละ 2 หน หรือ 3 หน หรือ พรรษาเท่ากันแล้วพร้อมกันก็ได้
ทั้งนี้ จะปวารณาอย่างไรก็พึงประกาศให้สงฆ์รู้ด้วยญัตติก่อน โดยนัยนี้
การตั้งญัตติในสังฆปวารณา จึงมีต่างๆ กัน ดังมีอนุญาตไว้ดังนี้
1. เตวาจิกา ญัตติ คือ จะปวารณา 3 หน พึงตั้งญัตติว่า : สุณาตุ เม ภนฺเต
สงฺโฆ, อชฺช ปวารณา ปณฺณรสี, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สงฺโฆ เตวาจิกํ ปวาเรยฺย
แปลว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ปวารณาวันนี้ที่ 15 ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงปวารณาอย่างกล่าววาจา 3 หน (ถ้าเป็นวันแรม 14 ค่ำ หรือวันสามัคคีก็พึงเปลี่ยน
ปณฺณรสี เป็น จาตุทฺทสี หรือ สามคฺคี ตามลำดับ)
2. เทฺววาจิกาญัตติ คือจะปวารณา 2 หน ตั้งญัตติอย่างเดียวกัน แต่เปลี่ยน
เตวาจิกํ เป็น เทฺววาจิกํ
3. เอกวาจิกา ญัตติ คือจะปวารณาหนเดียว ตั้งญัตติอย่างเดียวกันนั้น แต่เปลี่ยน
เตวาจิกํ เป็น เอกวาจิกํ
4. สมานวัสสิกา ญัตติ คือ จัดให้ภิกษุที่มีพรรษาเท่ากัน ปวารณาพร้อมกัน
ตั้งญัตติก็เหมือน แต่เปลี่ยน เตวาจิกํ เป็น สมานวสฺสิกํ (3 หน 2 หน หรือ
หนเดียวได้ทั้งนั้น)
5. สัพพสังคาหิกา ญัตติ คือ แบบตั้งครอบทั่วไป ไม่ระบุว่ากี่หน ตั้งญัตติคลุมๆ
โดยลงท้ายว่า .......สงฺโฆ ปวาเรยฺย (ตัดคำว่า เตวาจิกํ ออกเสีย และไม่ใส่คำใดอื่นแทนลงไป
อย่างนี้จะปวารณากี่หนก็ได้); ธรรมเนียมคงนิยมแต่แบบที่ 1,2 และ 4 และท่านเรียกชื่อปวารณาตามนั้นด้วยว่า
เตวาจิกา ปวารณา, เทฺววาจิกา ปวารณา, สมานวัสสิกา ปวารณา ตามลำดับ
ในการทำ คณปวารณา ถ้ามีภิกษุ 3-4 รูป พึงตั้งญัตติก่อนว่า: สุณนฺตุ เม
อายสฺมนฺโต, อชฺช ปวารณา ปณฺณรสี, อทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, มยํ อญฺ?มญฺ?ํ
ปวาเรยฺยาม แปลว่า ท่านเจ้าข้า ท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ปวารณาวันนี้
ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงปวารณากันเถิด
(ถ้า 3 รูปว่า อายสฺมนฺตา แทน อายสฺมนฺโต) จากนั้นแต่ละรูปปวารณา 3 หน
ตามลำดับพรรษาดังนี้: มี 3 รูปว่า อหํ อาวุโส อายสฺมนฺเต ปวาเรมิ ฯเปฯ
วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺตา อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ. ทุติยมฺปิ
อาวุโส ฯเปฯ ตติยมฺปิ อาวุโส ฯเปฯ ปฏิกฺกริสฺสามิ. (ถ้ารูปอ่อนกว่าว่า
เปลี่ยน อาวุโส เป็น ภนฺเต) ; มี 4 รูป เปลี่ยน อายสฺมนฺเต และ อายสฺมนฺตา เป็น อายสฺมนฺโต อย่างเดียว; ถ้ามี 2 รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ คำปวารณาก็เหมือนอย่างนั้น
เปลี่ยนแต่ อายสฺมนฺเต เป็น อายสฺมนฺตํ, อายสฺมนฺตา เป็น อายสฺมา และ วทนฺตุ
เป็น วทตุ
ถ้าภิกษุอยู่รูปเดียว เธอพึงตระเตรียมสถานที่ไว้ และคอยภิกษุอื่นจนสิ้นเวลา
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอื่นแล้ว พึงทำ ปุคคลปวารณา โดยอธิษฐาน คือกำหนดใจว่า
อชฺช เม ปวารณา แปลว่า ปวารณาของเราวันนี้ เหตุที่จะอ้างเพื่อเลือนวันปวารณาได้
คือ จะมีภิกษุจากที่อื่นมาสมทบปวารณาด้วย โดยหมายจะคัดค้านผู้นั้นผู้นี้ให้เกิดอธิกรณ์ขึ้น
หรืออยู่ด้วยกันผาสุก ถ้าปวารณาแล้วต่างก็จะจาริกจากกันไปเสีย
การที่พระท่านกล่าวปวารณา คือการยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนกันไว้ ในเมื่อต่างรูปต่างต้องจากกันไปรูปละทิศละทาง
ท่านเกรงว่าอาจมีข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น โดยตัวท่านเองรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือมองไม่เห็นเหมือนผงเข้าตาตัวเอง
แม้ผงจะอยู่ชิดติดกับลูกนัยน์ตา เราก็ไม่สามารถมองเห็นผงนั้นได้ จำเป็นต้องไหว้วานขอร้องผู้อื่นให้มาช่วยดูหรือต้องใช้กระจกส่องดู
เพราะฉะนั้น พระท่านจึงใช้วิธีการกล่าวปวารณาไว้เพื่อท่านรูปอื่นได้เห็นหรือแม้แต่ได้ยินได้ฟัง
เรื่องดีไม่ดีไม่งามอะไรก็ตาม ให้กล่าวแนะนำตักเตือนได้โดยไม่ต้องเกรงใจกันทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยด้วยเจตนาดีต่อกัน
คือ พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถกล่าวชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
โดยที่พระผู้อาวุโสกว่าท่านก็มิได้สำคัญตนผิด คิดว่าตนเองทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง
การกล่าวปวารณา เท่ากับเป็นการช่วยระมัดระวังข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีของพระรูปหนึ่ง
ซึ่งเป็นจุดน้อย ๆ นี้ที่จะลุกลามก่อความเสื่อมเสียไปถึงพระหมู่มาก และลุกลามไปถึงพระพุทธศาสนา
อันเป็นจุดศูนย์ที่ใหญ่ได้ ท่านจึงใช้วิธีป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าการแก้ไข
ในภายหลัง ตัวอย่าง วันออกพรรษาหรือวันมหาปวารณาที่พระภิกษุทั้งหลายกระทำเช่นนี้
เป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอยสังวร คือ ตามระวัง ไม่ประมาท ไม่ยอมให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้
เหมือนล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหายไม่ว่าจะอยู่ในเทศกาลเข้าพรรษาหรือออกพรรษา
พระท่านจะประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามระบอบของพระธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลา ส่วนพิธีของฆราวาสนั้น
ควรจะนำเอาพิธีปวารณาของพระท่านมาใช้ดูบ้าง ซึ่งจะมีผลดีที่เกิดขึ้นแก่กลุ่มชนที่อยู่รวมกัน
ไม่ว่าครอบครัวและสังคมต่าง ๆ
|