แคว้นมคธมีเมืองหลวงชื่อว่าราชคฤห์ ในสมัยพุทธกาล มีกษัตริย์ที่มีอำนาจสิทธิขาดทรงพระนามว่า พิมพิสาร เป็นผู้ปกครอง พระเจ้าพิมพิสารได้แผ่อิทธิพลไปเหนือแคว้นอื่นๆ และที่สำคัญ คือเป็นศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชใหม่ๆ ได้เสด็จผ่านมาทางเมื่องราชคฤห์เพื่อจะเสด็จต่อไป พระเจ้าพิมพิสารก็ได้ท่งพบปะสนทนากับพระองค์พอสมควร พระเจ้าพิมพิสารทรงอนุโมทนาพร้อมทั้งกราบทูลพระมหาสมณะว่า เมื่อได้ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จมาโปรด ก่อนพระเจ้าพิมพิสารได้รับการอภิเษกเป็นมหากษัตริย์ได้ตั้งความปรารถนาไว้ 5 ข้อคือ
1. ขอให้ได้เป็นกษัตริย์
2. ขอให้พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ พึงมาแคร้นของข้าพเจ้าเมื่อได้รับการอภิเษกแล้ว
3. ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์
4. ขอให้พระอรหันต์นั้นแสดงธรรม
5. ขอให้ข้าพเจ้าพึงรู้ทั่วถึงธรรม
หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว และส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนายังแคว้นต่างๆ นักบวชกลุ่มหนึ่งที่ถือการบูชาไฟเป็นเป้นหลักเรียกลัทธิของตนว่า ชฎิลสามพี่น้องตระกูลกัสสปะ คือ อุรุเวละ คยา และนที พร้อมด้วยบริจาคจนนักบวชเหล่านั้นเลื่อมใสศรัทธา ละทิ้งลัทธิเดิม
ขณะนั้นกิตติศัพท์กำลังแพร่กระจายไปทั่ว และรวดเร็วว่า เจ้าชายจากศากยตระกูลเสด็จออกผนวช และตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระบรมศาสดาทรงเห็นปฏิกิริยาของพวกข้าราชบริพารเหล่านั้น จึงตรัสแก้พระอุรุเวละ ที่บุคคลเหล่านั้นเครพนับถือมาก่อน ให้ชี้แจงแก่ชนเหล่านั้นถึงความไม่สีแก่นสารในลัทธิเดิมของตน และพระองค์จะทรงคอยซักถามไปทีละข้อๆแบบปุจฉา-วิสัชนา(ถาม-ตอบ)
พอพระบรมศาสดาเทศนาจบ ข้าราชบริพารเหล่านั้นแบ่งเป็น 12 ส่วน 11 ส่วนได้ดวงตาเห็นธรรม อีกส่วน1 ตั้งอยู่ในพระรัตนตรัย
พระเจ้าพิมพิสารทรงปีติยิ่งนัก วัยหนุ่มพระองค์ได้ตั้งความปรารถนาไว้ 5 ข้อ บัดนี้ความปรารถนานั้นสำเร็จแก่พระองค์หมดแล้ว
พระเจ้าพิมพิสารพอถวายภัตตาหารแก่พระบรมศาสดาและพระสงค์แล้ว ก็ทรงดำริถึงสถานที่ที่ควรประทับของพระบรมศาสดา ทรงพิจารณาเห็นว่าพระราชอุทยานเวฬุวัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก กลางวันก็ไม่ค่อยพรุกพล่าน กลางคืนก็สงบ เหมาะที่จะใช้เป็นที่อาศัยของสมณะผู้รักความสงบยิ่งนัก พระเจ้าพิมพิสารจึงเป็นอุบาสกคนแรกที่ถวายอารามแก่พระสงฆ์
พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นอุบาสกบริษัทที่มีความสำคัญในการเผยแผ่พระศาสนาของพระบรมศาสดาอย่างยิ่ง ทรงยึดมั่นในคำสอนประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีของไพร่ฟ้าประชาชนและทรงปกครองด้วยทศพีราชธรรม แต่บั้นปลายชีวิตพระองค์ได้รับเคราะห์กรรมอย่างหนัก อันเนื่องจากการเห็นกงจักรเป็นเป็นดอกบัวของพระเจ้าอชาตศัตรูพระราชโอรสของพระองค์เอง
ในช่วงนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูทรงดำรงอยู่ในตำแหน่งมกุฎราชกุมารผู้ที่จะได้ครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดาคือพระเจ้าพิมพสาร แต่ไปคบกับพระเทวทัตหลงคารมพระเทวทัตที่ยุแหย่ว่า ท่านเป็นเพียงมกุฎราชกุมาร อาจตายก่อนพระเจ้าพิมพิสารก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะได้เป็นกษัตริย์หรือ ท่านจงปลงพระชนม์พระบิดาแล้งขึ้นครองราช อาตมาก็จะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าแล้วเป็นประมุขฝ่ายศาสนจักรปกครองพระสงค์แทนพระพุทธเจ้า พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเห็นดีเห็นชอบด้วย จึงจับพระราชบิดาคือพระเจ้าพิมพิสารมาขังไว้ โดยไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม ยกเว้นพระราชมารดาโกศลเทวีหรือเวเทหิคือพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ไม่อนุญาตให้ใครนำอาหารไปให้พระเจ้าพิมพิสารอย่างเด็ดขาด ปล่อยให้อดตายไปเอง
พระมเหสีขอร้องพระเจ้าอชาตศัตรูอย่าได้ทรมานพระบิดาเลย ถ้าต้องการราชสมบัติพระบิดาก็จะยกให้ แต่พระเจ้าอชาตศัตรูหาได้รับฟังคำอ้อนวอนนั้นไม่ พระนางเสด็จเข้าไปเยี่ยมพระสวามีในคุกทุกวัน วันละ 3ครั้ง และแอบซ่อนอาหารเข้าไป เจ้าหน้าก็ไม่กล้าห้าม
หลายวันผ่านไป พระเจ้าอชาตศตรูสอบถามว่าพระราชปิดาสวรรคตหรือยัง พอทรงทราบว่ายังและทรงทราบด้วยว่าพระมารดาทรงลักลอบนำอาหารเข้าไปให้ จึงห้ามมิให้พระมารดาทรงแต่งสาหรี่เข้าไป เพื่อให้สามารถตรวจสอบการลักลอบนำอาหารเข้าไปได้ง่ายขึ้น
พระมเหสีก็ทรงนำเอาข้าวมาทุบให้เหนียวและทรงนำมาติดไว้ที่ฝ่าพระบาท แล้วทรงสวมฉลองพระบาทเสด็จเข้าไปเยี่ยมพระสามีเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงรู้เข้า จึงห้ามพระมเหสีเสด็จเข้าไปเยี่ยมโดยเด็ดขาด
พระเจ้าพิมพิสารดำรงพระชนม์อยู่ด้วยการปฏิบัติธรรมโดยการทรงเดินจงกรม ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบว่าพระบิดามีพระชนม์อยู่ได้ด้วยการทรงเดินจงกรม จึงทรงรับสั่งให้ช่างกัลบก(ช่างตัดผม) เอามีดโกนไปกรีดฝ่าพระบาทของพระเข้าพิมพิสาร ไม่ให้ทรงสามารถเดินจงกรมได้อีก เมื่อเดินจงกรมไม่ได้ ในที่สุดพระเจ้าพิมพิสารก็สวรรคต ซึ่งเป็นวันเดียวกับพระเจ้าอชาตศัตรูมีพระโอรสองค์แรก ทรงมีความปีติยินดียิ่งนักทรงรักพระโอรสอย่างสุดซึ่ง ทำให้ทรงหวนระลึกได้ว่าพระบิดาก็คงรักตนมากเหมือนกับตนรักพระโอรสจึงทรงรับสั่งให้ราชบุรุษรีบไปปล่อยพระบิดา แต่ก็สายไปเสียแล้ว
พระเจ้าพิมพิสารสวรรคตก่อนพุทธปรินิพพาน คุกที่พระเจ้าอชาตศัตรูใช้คุมขังพระเจ้าพิมพิสารนี้ ปัจจุบันยังมีเหลืออยู่เพียงซากอิฐ จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของอินเดีย
ไฟ คือโมหะนี้ช่างรุนแรงเหลือเกิน เมื่อเกิดขึ้นในจิตของผู้ใด จะทำให้ผู้นั้นเห็นผิดเป็นถูก ทำความชั่วได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งการฆ่าพ่อตัวเองอย่างพระเจ้าอชาตศัตรูนี้ |