หน้าแรก | ||||||
กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม |
||||||
สารบัญ | ||||||
พุทธบริษัท 4 | ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ |
ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2450 ที่จังหวัดธนบุรี บิดาชื่อ มหาอำมาตย์ตรี พระยาธรรมสารเวทย์วิเศษภักดี ศรีสัตยวัตตา พิริยพาหะ (ทองดี ธรรมศักดิ์) มารดาชื่อ คุณหญิงชื้น ธรรมสารเวทย์ฯ สมรสกับ ท่านผู้หญิงพงา ธรรมศักดิ์ (เพ็ญชาติ) เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2477 มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายชาติศักดิ์ ธรรมศักดิ์ และนายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ การศึกษา ท่านอาจารย์เข้าศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อ พ.ศ. 2457 และสำเร็จชั้น 6 อังกฤษ (มัธยมบริบูรณ์) พ.ศ. 2468 ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรมเป็นเวลา 3 ปี และสำเร็จเป็นเนติบัณฑิต เมื่อ พ.ศ. 2471 พ.ศ. 2472 สอบแข่งขันได้คะแนนสูงสุด และได้รับทุนเล่าเรียน รพีบุญนิธิ ไปศึกษาวิชากฎหมายต่อในประเทศอังกฤษ ที่สำนักมิดเดิ้ลเทมเปิ้ล (THE MIDDLE TEMPLE) ศึกษาอยู่เป็นเวลา 3 ปี ก็สอบไล่ได้สำเร็จตามหลักสูตรเป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ (BARRISTER-AT-LAW) เมื่อ พ.ศ. 2475 พ.ศ. 2470 ขณะอุปสมบทที่วัดเบญจมบพิตร ได้ศึกษาพระธรรมวินัยที่สำนักเรียนวัดเบญจมบพิตรและสามารถสอบไล่นักธรรมชั้นตรี ได้ที่ 1 พ.ศ. 2498 เข้ารับการศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเป็นรุ่นที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้มอบปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีกิตติมศักดิ์ให้ในปี พ.ศ. 2506 พ.ศ. 2517 และพ.ศ. 2524 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์สาขาต่างๆ จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกหลายแห่ง การทำงาน 1 ส.ค. 2468 ได้เข้ารับราชการครั้งแรก ในขณะที่มีอายุ 18 ปี 3 เดือน 27 วัน ในตำแหน่งนักเรียนล่ามกรมบัญชาการ (กองล่าม) กระทรวงยุติธรรม เงินเดือน 30 บาท 1 ธ.ค. 2470 ได้รับราชการในตำแหน่งล่าม เงินเดือน 50 บาท ท่านอาจารย์มีความตั้งใจที่จะเป็นตุลาการตั้งแต่ครั้งที่ยังเยาว์ เพราะได้เห็นแบบอย่างการเป็นตุลาการที่ดีของบิดา 1 ส.ค. 2476 ดังนั้นเมื่อเจริญวัยขึ้นหลังจากที่ได้เข้ารับราชการแล้ว ได้มีโอกาสที่จะเจริญรอยตามบิดา 10 ก.ค. 2477 เป็นผู้พิพากษาฝึกหัด เงินเดือน 200 บาท 7 ก.พ. 2478 ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรม เงินเดือน 200 บาท 5 ก.ค. 2478 ไปช่วยราชการที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา เงินเดือน 260 บาท 1 พ.ค. 2491 เป็นผู้พิพากษาอุทธรณ์ เงินเดือน 500 บาท 30 ส.ค. 2493 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้ากองในศาลอุทธรณ์ 2 เม.ย. 2494 เป็นข้าหลวงยุติธรรมภาค 4 (อธิบดีผู้พิพากษา ภาค 5 ในปัจจุบัน) เงินเดือน 700 บาท และได้ทำหน้าที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่ด้วย 23 มี.ค. 2496 เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม เงินเดือน 800 บาท 1 ต.ค. 2501 เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา 1 เม.ย. 2502 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เงินเดือน 1,400 บาท 15 ต.ค. 2505 เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ เงินเดือน 8,600 บาท 1 ต.ค. 2506 เป็นประธานศาลฎีกา เงินเดือน 9,000 บาท 1 ต.ค. 2510 ครบเกษียณอายุราชการ 18 มิ.ย. 2511 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรี 14 ต.ค. 2516 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศชาติในยามคับขัน (เมื่อเกิดเหตุการณ์มหาวิปโยค) ท่านอาจารย์ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกัน 2 สมัย 26 มี.ค. 2518 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรี 5 ธ.ค. 2518 ได้รับพระกรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี เป็นกรรมการตุลาการหลายครั้ง เริ่มแรกเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2489 ได้ทำหน้าที่เป็นเลขานุการก.ต. และเมื่อมีประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. 2497 เป็นผู้ริเริ่มวางรูปงาน และควบคุมดูแลการเลือกตั้งกรรมการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิครั้งแรกเมื่อ 17 มกราคม 2501 สำเร็จเป็นผลเรียบร้อยดียิ่ง จนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสมัยนั้นได้บันทึกความดีความชอบไว้ในสมุดประวัติ เมื่ออาจารย์ได้ย้ายมารับราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ท่านอาจารย์ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิรวม 3 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อ 29 มิถุนายน 2502 ครั้งที่สอง เมื่อ 22 มกราคม 2503 ครั้งที่สาม เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2505 หลังจากที่ครบเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านอาจารย์ก็ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิประเภทข้าราชการบำนาญอีก 3 ครั้ง เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2511, 14 มกราคม 2513 และ 19 มกราคม 2515 ตามลำดับ และพ้นจากตำแหน่งกรรมการตุลาการครั้งหลังสุดเมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านอาจารย์ยังเป็นผู้มีความรอบรู้ในเรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้เขียนบทความและบรรยายปาฐกถา เกี่ยวกับธรรมะไว้หลายเรื่องและหลายแห่งจนถึงปัจจุบันตลอดมา ด้วยความสนใจในพระพุทธศาสนา หลังจากกลับจากการศึกษาที่ประเทศอังกฤษ จึงได้ริเริ่มก่อตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย (เดิมชื่อว่า พุทธธรรมสมาคม) ขึ้นในปี พ.ศ. 2477 และเป็นเลขานุการของสมาคมฯ นานหลายปี ต่อมาได้สับเปลี่ยนทำหน้าที่อื่นอีกหลายตำแหน่งในสมาคมฯ จนในที่สุดก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมฯ ซึ่งได้ทำหน้าที่ตำแหน่งนี้เป็นเวลาถึง 10 ปี กระทั่งท่านอาจารย์มีอายุได้ 48 ปี จึงได้สละตำแหน่งนี้ ต่อมา ท่านอาจารย์ได้รับเลือกจากนานาชาติ ให้เป็นรองประธานฯ ทำหน้าที่แทนประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก พ.ศ. 2527 ได้รับเลือกให้เป็น ประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2545 ขณะดำรงตำแหน่งองคมนตรี นับว่าท่านเป็นปูชนียบุคคลที่ได้ประกอบคุณงามความดีแก่สังคมไทย ไว้เป็นอเนกประการ เป็นผู้ทรงคุณธรรมในเรื่อง เมตตาและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และเป็นอาจารย์ผู้ทรงความรู้ในทางวิชาการ และผู้ที่นำวิชาความรู้ไปประยุกต์ใช้จนเป็นที่ยอมรับจากสถาบันการศึกษาชั้นสูง ดังจะเห็นได้จากที่ท่านได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2537 ยกย่องให้ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ดำรงตำแหน่ง "ธรรมศาสตราจารย์" นอกจากเป็นนักกฎหมายที่ทำงานทั้งทางปฏิบัติจนเป็นถึงประธานศาลฎีกา และได้บริหารงานในสถาบันการศึกษา ด้วยการดำรงตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ยังได้ทำงานการเมืองที่สำคัญยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ โดยเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหาร เป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทานในยุคที่สังคมกำลังตื่นตัวกับ การเรียกร้องให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งท่านก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถแก้ไขปัญหา ของสังคมไทยในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี จนเมื่อท่านพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ก็ยังได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตร ีเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ.2518 จนถึง พ.ศ.2541 ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ยังเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพนับถือจากบุคคลทั่วไปในวัตรปฏิบัติของท่าน เพราะการที่ท่านได้นำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติราชการและการดำรงชีวิตได้อย่างดียิ่ง เป็นผู้ฝักใฝ่และมีศรัทธาในพุทธศาสนาโดยตลอด เป็นผู้เริ่มก่อตั้งพุทธสมาคม และภายหลังได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่ขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกให้ดำรงตำแหน่งประธานองค์การฯ เป็นเวลานานถึง 14 ปี จากคุณูปการที่ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้กระทำไว้แก่สังคมไทย ย่อมเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับอนุชนรุ่นหลังที่จะศึกษาและถือเอาเป็นแบบอย่างในการดำเนินรอยตาม จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะยกย่องเชิดชูเกียรติคุณของ ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ให้เป็นที่ปรากฏสืบไป |
Copyright By : Chalengsak
Chuaorrawan Sainampeung School 186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com Tel; 089-200-7752 mobile |
|
http://www.sainampeung.ac.th |