หน้าแรก
โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ ฯ
กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สารบัญ
พุทธบริษัท 4
นางสิริมา

         นางสิริมา หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาบัน
เนื่องจากนางมีรูปร่างงดงาม และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในศิลปะอันเป็นวิชาชีพ จึงมีพวกบุรุษทั้งหลายรับนางไปบำเรอและสมสู่ด้วยโดยจ่ายทรัพย์ให้นางเป็นค่าตอบแทนตามราคาที่นางกำหนดไว้ นางสิริมาจึงร่ำรวยด้วยอาชีพเช่นนั้น ทั้งต่อมา นางสิริมาผู้นี้ยังบรรลุคุณธรรมพิเศษคือโสดาปัตติผลอีกด้วย นางสิริมาผู้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว พร้อมด้วยหญิงบริวารจำนวน 500 คน ต่างประกาศตนเป็นเป็นอุบาสิกาผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ นางสิริมาหลังจากได้สำเร็จโสดาปัตติผลเป็นโสดาบันแล้ว ได้ทูลอาราธนาพระทศพลเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อเสวยพระกระยาหารในวันรุ่งขึ้น ได้ถวายมหาทานอันโอฬารและประณีตตั้งแต่นั้นมา และได้ถวายอาหารแก่ภิกษุวันละ 8 รูปเป็นประจำ นางได้เอาใจใส่สั่งคนรับใช้ให้ทำของประณีตถวายสงฆ์ ใส่ให้จนเต็มบาตรทุกรูป อาหารที่พระรูปเดียวรับมาจากบ้านของนาง พอเลี้ยงพระถึง 3 หรือ 4 รูป ต่อมาวันหนึ่งภิกษุรูปหนึ่งไปรับอาหารที่บ้านของนางสิริมาแล้วกลับมา ตกตอนเย็นนั่งสนทนากับเพื่อนภิกษุด้วยกัน รูปหนึ่งถามขึ้นว่า “อาวุโส วันนี้ท่านไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านใด” “ที่บ้านของนางสิริมา” ท่านตอบ “อาหารดีไหม” “ดีมาก ดีจนพูดไม่ถูก ปริมาณก็มากด้วย อาหารที่นางถวายแก่ข้าพเจ้านั้นแจกจ่ายแก่เพื่อนๆ ได้ถึง 3 หรือ 4 รูป แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่า นางสวยเหลือเกิน การได้มองดูนางดีกว่าไทยธรรมของนางซะอีก ท่านลองคิดดูเถอะว่า จะเลิศสักปานใด ปาก จมูก คอ มือ เท้าของนางดูงามละเมียดละไมไปหมด” ภิกษุรูปนั้นได้ฟังเพื่อนเล่าดังนี้ ก็กระหายใคร่จะได้เห็นนางสิริมาบ้าง จึงถามถึงลำดับของตนว่าจะได้ไปเมื่อใด ก็ทราบว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นลำดับของตนดีใจมาก วันรุ่งขึ้นเมื่ออรุณยังไม่ทันเบิกฟ้า ท่านก็รีบเข้าไปที่โรงสลาก ได้เป็นหัวหน้าพระอีก 7 รูปไปสู่บ้านของนางสิริมาเพื่อรับอาหาร แต่ว่าบังเอิญนางสิริมาได้ล้มป่วยลงโดยกระทันหันตั้งแต่เมื่อวันวาน จึงได้เปลื้องเครื่องอาภรณ์ที่สวยงามออกแล้วนอนซมอยู่ เมื่อเวลาพระมาถึง นางได้สั่งสาวใช้ให้จัดแจงให้เรียบร้อยเหมือนอย่างที่นางเคยทำเอง คือนิมนต์ให้พระคุณเจ้านั่งแล้วเอาบาตรไปบรรจุโภชนะให้เต็ม แล้วถวายข้าวยาคู หรือข้าวสวยแก่พระคุณเจ้า หญิงรับใช้ได้ทำตามที่นางสั่งไว้ทุกประการ เสร็จแล้วบอกให้นางทราบ นางจึงขอร้องให้หญิงรับใช้ช่วยกันประคองนางออกไปเพื่อไหว้พระคุณเจ้าทั้งๆ ที่กำลังจับไข้อยู่ ตัวของนางจึงสั่นน้อยๆ ภิกษุรูปนั้นเมื่อเห็นนางสิริมาแล้ว ตะลึงในความงามพลางคิดว่า “โอ้ กำลังจับไข้อยู่ ยังงามถึงปานนี้ ในเวลาไม่เจ็บป่วย ประดับประดาด้วยสรีราภรณ์อันอลังการสวยงาม นางนี้จะมีรูปสมบัติที่เลิศสักปานใดหนอ” ขณะนั้นเองกิเลสที่ท่านเคยสั่งสมไว้หลายโกฏิปีก็ฟูขึ้นประหนึ่งถูกแรงลม ท่านนั้นมีจิตใจจดจ่อแต่สิริมาไม่สามารถฉันอาหารใดๆ ได้เลย กลับสู่วิหารแล้วปิดบาตรไว้โดยมิได้แตะต้อง เอาจีวรคลุมศีรษะนอนรำพึงถึงแต่สิริมาด้วยความหลงใหล ภิกษุผู้เป็นสหายกันทราบความนั้น พยายามชี้แจงและอ้อนวอนให้ท่านฉันอาหาร แต่ก็ไร้ผลจึงอดอาหารไปทั้งวัน และเย็นวันนั้นเองนางสิริมาก็ตาย พระเจ้าพิมพิสารให้ราชบุรุษไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า บัดนี้นางสิริมาน้องสาวของหมออาชีวกตายเสียแล้ว พระศาสดาทรงทราบเรื่องการตายของนางสิริมา และทรงทราบเรื่องภิกษุผู้หลงใหลในรูปของนางสิริมานั้นด้วย ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จักแสดงสัจธรรมบางประการ และทรงเห็นอุบายที่จะสอนภิกษุรูปนั้น และประชาชนทั้งหลายให้ได้ทราบความเป็นไปแห่งชีวิต จึงทรงรับสั่งถึงพระราชาพิมพิสารว่า ขอให้รักษาศพของนางสิริมาไว้ในป่าช้าผีดิบ อย่าให้กาและสุนัขเป็นต้นกัดกิน พระราชาทรงทราบแล้วทรงทำตามพุทธบัญชาเพราะทรงแน่พระทัยว่า พระศาสดาจะต้องทรงมีพระอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่นอน 3 วันล่วงไปตามลำดับ ในวันที่ 4 สรีระนั้นก็ขึ้นพอง น้ำเน่าได้ไหลเหยิ้มไปทั่วร่างกาย สรีระทั้งสิ้นได้แตกปริออกเน่าและเหม็นผุพัง พระราชาได้ให้ราชบุรุษเที่ยวตีกลองประกาศทั่วพระนครว่า เว้นแต่เด็กกับคนชราเฝ้าเรือนเท่านั้น นอกนั้นถ้าใครไม่ไปดูนางสิริมาจะถูกปรับ 8 กหาปณะ แล้วทรงส่งข่าวไปถึงพระผู้มีพระภาค หากพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์จะดูนางสิริมาด้วยก็จะเป็นการดี พระศาสดาตรัสบอกพระภิกษุทั้งหลายว่า จะเสด็จไปดูศพนางสิริมาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ภิกษุรูปนั้นพอทราบว่าพระศาสดาและภิกษุสงฆ์จะไปดูนางสิริมาเท่านั้น แม้จะอดอาหารมาตั้ง ๔ วันแล้ว ก็รีบลุกขึ้นทันที เอาอาหารที่บูดเน่าในบาตรนั้นทิ้ง เช็ดบาตรเรียบร้อยแล้วเอาใส่ถุงบาตรไปกับภิกษุทั้งหลาย พระศาสดาผู้อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับยืนอยู่ข้างหนึ่ง แม้ภิกษุณีสงฆ์ ราชบริษัท อุบาสกบริษัท และอุบาสิกาบริษัทก็ยืนอยู่ข้างหนึ่งๆ พระศาสดาตรัสถามพระราชาว่า “มหาบพิตรร่างนั้นคือใคร” “นางสิริมาพระเจ้าข้า” พระราชาตรัสตอบ “นางสิริมาหรือนั่น” พระพุทธองค์ทรงถามซ้ำ “พระเจ้าข้า” พระราชาทูลตอบ “มหาบพิตรถ้าอย่างนั้นขอให้พระองค์ยังราชบุรุษเที่ยวประกาศไปในพระนครว่า ถ้าใครให้ทรัพย์พันหนึ่งแล้ว ก็จงมารับนางสิริมาไป” พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้น ราชบุรุษเที่ยวประกาศทั่วพระนคร ไม่มีใครเลยที่จะรับนางสิริมาเป็นของตน ราชบุรุษประกาศลดราคาลงตามลำดับ ในที่สุดประกาศให้เปล่าก็ไม่มีใครรับ พระราชาทูลความทั้งปวงให้พระศาสดาทรงทราบแล้ว พระผู้เจนจบรู้แจ้งแล้วซึ่งโลกและธรรมทั้งปวงทอดพระเนตรภิกษุทั้งมวลแล้วตรัสว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ดูสตรีอันเป็นที่รักที่พอใจของคนเป็นอันมาก เมื่อก่อนนี้ให้ทรัพย์ 1,000 กหาปณะแล้ว ให้อยู่ร่วมด้วยนางสิริมาเพียงวันเดียวคนทั้งหลายก็แย่งกัน แต่บัดนี้เวลาล่วงไปเพียง 5-6 วันเท่านั้น ร่างเดียวกันนี้ แม้ให้เปล่าก็ไม่มีใครต้องการ ภิกษุทั้งหลาย รูปที่มีความงามถึงปานนี้ ถึงแล้วซึ่งความสิ้นและความเสื่อมไปตามธรรมดาของโลกทั้งหลาย รูปนี้เป็นอย่างไร รูปอื่นก็เป็นอย่างนั้น รูปอื่นเป็นอย่างไร รูปนี้ก็เป็นอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ดูเถิด ดูร่างกายที่เน่าเปื่อยมีกลิ่นเหม็น มีกระดูกเป็นโครงอันเนื้อและเลือดซึ่งเกิดแต่กรรมทำให้วิจิตรแล้ว ร่างกายนี้อาดูร ไม่มีความเที่ยงหรือยั่งยืน แต่คนส่วนมากก็ยังดำริถึงด้วยความกำหนัดพอใจ” เมื่อจบพระธรรมเทศนาลงธรรมาภิสมัย คือการรู้ธรรม ได้เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลเป็นอันมาก แม้ภิกษุที่ติดใจร่างกายของนางสิริมายิ่งนัก ก็ได้สำเร็จโสดาปัตติผล


Copyright By : Chalengsak Chuaorrawan Sainampeung School
186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand
e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com
Tel; 089-200-7752 mobile
http://www.sainampeung.ac.th