กีสาโคตมีเถรี เป็นธิดาพราหมณ์ตระกูลเก่าแก่ เป็นหญิงรูปร่างบอบบาง สง่างาม แต่งงานกับเศรษฐีตามประวัติกล่าวว่า
เศรษฐีคนหนึ่งใน เมืองสาวัตถี มีทรัพย์สิน ประมาณ 400 ล้าน (40 โกฏิ) อยู่มาวันหนึ่งทรัพย์สินของเขากลายเป็นถ่านไปหมดทำให้เศรษฐีหมดตัว ตรอมใจอยู่ตามลำพัง ครั้นแล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งมาเยี่ยม จึงถามว่า เพื่อนเกิดอะไรขึ้น จึงมานอนเศร้าโสกอยู่อย่างนี้ เศรษฐีเล่าให้ฟัง เพื่อนคนนั้นก็พูดว่า ฉันทราบเคล็ดลับวิธีที่จะทำให้ถ่านเหล่านี้กลับเป็นเงินเป็นทองขึ้นมาอีกได้ เศรษฐีถามว่า ทำอย่างไรเพื่อน ฉันพร้อมจะทำตามคำแนะนำของเพื่อนโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น
เพื่อนคนนั้นก็บอกเคล็ดให้ว่า ให้นำเอาถ่านเหล่านี้ไปกองขาย เมื่อคนเดินผ่านไปมาพูดว่า พ่อค้าทั่วไปเขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย แต่ชายคนนี้กลับมานั่งขายถ่าน เพื่อนก็ตอบเขาว่าเราไม่ขายของของเรา แล้วจะห้เราขายอะไร ถ้าผู้ใดพูดว่าพ่อค้าทั่วไปขายเสื้อผ้าและสินค้าต่าง ๆ แต่ชานคนนี้มานั่งขายเงินขายทอง เพื่อนจงถามว่าเงินทองอยู่ที่ไหน เมื่อเขาพูดว่าก็นี่ยังไงโดยชี้มาที่กองถ่าน เพื่อนจงพูดต่อไปว่า จงเอาเงินเอาทองนั้นมาให้ข้าพเจ้าด้วย ของที่เขาให้นั้นจะกลายเป็นเงินและทอง ถ่านเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเงินและทองดังเดิม หากคนที่พูดเป็นหญิงสาว ท่าจงนำนางนั้นมาแต่งงานกับบุตรชายของมอบทรัพย์สิน 400 ล้านนี้ให้อยู่ในการดูแลรักษาของนาง ถ้าเป็นผู้ชายก็ให้นำมาแต่งงานกับบุตรสาวของท่านและมอบทรัพย์สินเหล่านี้ให้เขาเช่นกัน
เศรษฐีทำตามำแนะนำของเพื่อน พอดีวันนั้นนางกีสาโคตมีไปจ่ายตลาด เห็นเศรษฐีนั่งขายถ่านแต่นางกลับพูดว่า คนทั่วไปเขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย ทำไมท่านจึงมานั่งขายเงินขายทองอยู่คนเดียว เศรษฐีก็ถามว่า เงินทองอยู่ที่ไหนล่ะแม่คุณ
นางกีสาโคตมี ท่านนั่งจับเงินจับทองอยู่มิใช่หรือ เศรษฐี จงนำเงินทองนั้นมาให้เราดูหน่อยสิแม่คุณ
นางเอาถ่านนั้นไปวางในมือของเศรษฐี ถ่านเหล่านนั้นทั้งหมดก็กลายเป็นเงินทองดังเดิม เศรษฐีถามต่อว่า นี่แม่คุณ หนูเป็นลูกใคร บ้านอยู่ที่ไหน พอทราบว่าเธออยู่ที่ไหน และ ทราบว่าเธอยังไม่แต่งงาน จึงไปสู่ขอมาเป็นภรรยาของบุตรพร้อมทั้งมอบทรัพย์ทั้งหมดให้เธอครอบครอง
ต่อมาไม่นานเธฮตั้งครรภ์และคลอดบุตร พอบุตรเจริญวัยได้ประมาณ ๒ ขวบ ก็ถึงแก่ความตาย นางไม่ยอมให้ใครนำศพของลูกไปเผาเพราะเธอรักลูกมาก และไม่เคยเห็นคนตาย นางอุ้มลูกเดินไปตามตลาด โดยหวังว่าจะหาหมอเก่ง ๆ จัดยาให้ลูกเธอกิน
ขณะนั้นมีบัณฑิตคนหนึ่งพบเธอก็เกิดความสงสาร และ แนะนำให้เธอไปขอความช่วยเหลือจากพระบรมศาสดา ณ
พระเชตวันมหาวิหาร พอได้ยินดังนั้น นางก็รีบไปที่ พระเชตวันมหาวิหาร ไปเฝ้าพระบรมศาสดาถวายบังคมแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญทราบว่าพระองค์ทรงทราบยาเพื่อบุตรของหม่อมฉันจริงหรือพระเจ้าข้า พระศาสดาตัสว่า เออ ข้ารู้ นางกีสาโคตมี หม่อมฉันจะหาอะไรมาแลกจึงจะได้ พระเจ้าข้า พระศาสดาให้นางไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด จากบ้านใดที่ยังไม่เคยมีคนตายมา นางถวายบังคมแล้วรีบอุ้มศพลูกเดินไปตามบ้านต่าง ๆ เพื่อหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด หลังแล้สหลังเล่านางก็ได้คำตอบมาเหมือนกันว่าแต่ละบ้านนั้นมีคนตายมากกว่าคนเป็นเสียอีก กรรมหนอกรรมเราสำคัญว่าลูกเราเท่านั้นตาย แต่ในบ้านต่าง ๆ ที่เราถามมา ไม่มีบ้าไหนเลยที่ไม่มีคนตายพอนางคิดได้เช่นนั้นจึงนำเอาศพลูกไปฝังไว้ในป่าแล้วกลับไปยังสำนักของพระบรมศาสดา
ลำดับนั้นมาพระศาสดาตรัสกับเธอว่า ได้นำเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาหรือไม่ นางตอบว่า ไม่ได้ เพราะทุกบ้านที่ถามมาไม่มีหลังใดเลยที่ไม่เคยมีคนตาย พระบรมศาสดาจึงตรัสว่าที่จริงความตายนั่นแหละเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย และเมื่อจะทรงแสดงพระธรรมจึงตรัวพระคาถาที่แปลได้ว่า มฤตยูย่อมพาคนที่มัวเมาในบุตรและสัตว์ของเลี้ยง ผู้มีใจซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ดุจห้วงน้ำใหญ่พัดชาวบ้านผู้นอนหลับไหลไปฉะนั้น พระคาถานี้จบลง นางกีสาโคตมีบรรลุโสดาปัตติผล และประชาชนที่ฟังธรรมอยู่ในที่นั้นด้วย
ก็บรรลุอริยผลเป็นจำนวนมาก ต่อมานางกีสาโคตมีได้ทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดาก็ทรงส่งนางไปยังสำนักภิกษุณีเพื่อบรรพชาอุปสมบทตามที่เธอประสงค์ วันหนึ่งนางเข้าไปทำความสะอาดอุโบสถ นางนั่งสังเกตเปลวไฟและพิจารณาว่า
สัตว์โลกทั้งหลาย ก็เป็นอย่างเปลวไฟนี้เหมือนกัน คือเกิดขึ้นและดับไปดังเปลวไฟ ผู้ถึงนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฎเช่นนี้ พระบรมศาสดาทรงแผ่พระรัศมีไปดังนั่งตรัสตรงหน้าเธอว่า อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์เหล่านั้นย่อมเกิดและดับเหมือนเปลวไฟ ความเป็นอยู่ของผู้เห็นนิพพานแม้เพียงชั่วขณะเดียว ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ตั้ง 100 ปี ของผู้ไม่เห็นนิพพาน ผู้ใดไม่เห็นบทอันตายพึงเป็นอยู่ 300 ปี ก็หาสู้ความเป็นอยู่ของผู้เห็นบทอันไม่ตายแม้วันเดียวได้ไม่ พอจบพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้นางกีสาโคตมีที่ฟังอยู่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยความแตกฉานในปฏิสัมมาภิทา(ปัญญารู้แจ้ง 4ประการ)
|