หมู่บ้านมหาติฏฐะ แคว้นมคธ มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ กปิละ แห่งตระกูล กัสสปะ เป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยในขั้นเศรษฐี
มีลูกชายเป็นลูกโทนชื่อว่า ปิปผลิ เมื่อปิปผลิอายุได้ 20 ปี บิดามารดาปรึกษากันที่จะหาหญิงสาวที่เหมาะสมมาแต่งงาน กับปิปผลิลูกชายของตน ครั้นความเห็นตรงกันแล้ว จึงได้เรียกคนรับใช้ที่ไว้เนื้อเชื่อใจมาพบและให้คนใช้นั้นทำตามจุดประสงค์ ให้เดินทางไปยังเมืองต่างๆ แสวงหา กุลสตรีที่มีความงามเหมาะสมกับลูกชายของตน บุรุษที่ได้รับมอบหมายได้เดินทางไปถึงเมือง สาคลนคร ก็ได้พบพราหมณ์คนหนึ่งวัย 16 ปี
นางมีนามว่า ภัททกาปิลานี เป็นกุลสตรีที่พร้อมด้วยรูปสมบัติคือหน้าตาสวยงาม และเรียบร้อย อีกทั้งสกุลสูง เหมะสมที่จะเป็นคู่ครองของปิปผลิ จึงเข้าไปเจรจาสู่ขอกับบิดามารดาของเธอ แล้วส่งข่าวไปบอกให้กปิลพราหมณ์ทราบ ฝ่ายปิปผลิเมื่อรู้ว่าบิดามารดาจะให้แต่งงานกลับกลุ้มใจ เพราะไม่ประสงค์ที่จะแต่งงาน จึงเขียนจดหมายให้คนรับใช้ไปส่งให้ว่าที่เจ้าสาวว่า น้องสาว พี่ขอให้น้องจงแต่งงานกับชายอื่นเถิด อยู่ครองคู่ให้มีความสุขตัวพี่จะออกบวช ฝ่ายภัททกาปิลาน เมื่อรู้ว่าบิดามารดาจะให้แต่งงานก็รู้สึกเสียใจ เพราะยังไม่ประสงค์จะแต่งงานเช่นกัน จึงเขียนจดหมายให้คนใช้นำไปให้ปิปผลิกุมารมีใจความว่า ขอให้พี่เลือกหญิงอื่นเป็นคู่ครองเถิด น้องจะขอออกบวชบำเพ็ญพรต พอคนใช้ทั้งสองเดินฝ่ายทางมาเจอกันกลางป่าก็ได้แอบเปิดจดหมายอ่านและฉีกทิ้ง ในที่สุด นางภัททกาปิลานีได้เข้ามาอยู่ร่วมชายคากับปิปผลิ ทั้งคู่สักแต่ว่าอยู่ด้วยกันเท่านั้น แต่มิได้รักใคร่กัน จึงเป็นเหตุให้ไม่มีบุตร
ต่อมาบิดาปิปพลิถึงแก่กรรม ทรัพย์สมบัติพร้อมทั้งข้าทาสบริวารทั้งหมดตกเป็นของเขา สามีภรรยาคู่นี้หาได้ชื่นชมสมบัตินั้นไม่ กลับเห็นว่าผู้อยู่ครองเรือนนั้นเป็นบาป เกิดความเบื่อหน่ายจึงพร้อมใจกันออกบวช ปิปผลิ เดินหน้า ภัททกาปิลานี เดินตามหลัง พอถึง 2 ทางแพร่งแห่งหนึ่งจึงแยกกัน ปิปผลิไปทางขวา ภัททกาปิลานีไปทางซ้าย ได้พบกับสำนักของนางภิกษุณีแล้วเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ ขออุปสมบทเป็นภิกษุณี และสำเร็จอรหันต์ในโอกาสต่อมา
ปิปผลิเดินทางถึงป่าใหญ่ก็ได้พบกับพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ใต้ต้นไทรต้นหนึ่งเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงเข้าไปหาและประกาศตัวเป็นสาวกขออุปสมบท พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุ เมื่อบวชแล้วเพื่อนภิกษุไม่เรียกท่านว่า ปิปผลิ แต่เรียกท่านแทนว่า กัสสปะ ประกอบกับท่านเป็นผู้ใหญ่มีอายุมากจึงมีคำนำหน้าว่า มหา เป็น มหากัสสปะ ท่านได้บำเพ็ญเพียรด้วยการปฏิบัติตามพุทธโอวาทที่ทรงสั่งสอน นับจากวันที่ท่านอุปสมบทได้ 8 วันก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระบรมศาสดาจึงยกย่องท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุใดในด้านถือธุดงค์
พระมหากัสสปะถึงจะมาจากตระกูลที่ร่ำรวยมหาศาล แต่พอเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้วท่านก็ปฏิบัติตนเป็นคนมักน้อย ไม่ใช้ของฟุ่มเฟือย เพราะท่านเป็นผู้มักน้อยและชอบอยู่ป่าเป็นนิตย์ ก่อนนิพพานพระองค์เคยตรัสสอนไว้ว่า พระธรรมวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว จะเป็นศาสดาของพวกเธอในอนาคต ดังนั้นจำเป็นต้องรักษาคำสอนไว้ให้ดี อย่าให้ใครมาดัดแปลงหรือลบล้างคำสอนเหล่านั้น จึงจัดให้มีการสังคายนาขึ้นเป็นครั้งแรกเรียกว่า ปฐมสังคายนา มหากัสสปะเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มี พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภ์ มีพระภิกษุสงฆ์อรหันต์มาร่วมงานสังคายนาครั้งนี้จำนวน 500 องค์ กระทำอยู่ 7 เดือน จึงสำเร็จ พระมหากัสสปะมีอายุยืนถึง 120 ปี จึงนิพพาน ณ กุกกุฏสัมปาตบรรพต และอยู่ระหว่างภูเขา 3 ลูก
|