หน้าแรก
โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ ฯ
กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
สารบัญ
  1. ปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์ หมายถึง สภาวการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเปลือกโลกและบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก โดยสภาวการณ์นั้นมีอิทธิพลและผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทางตรงหรือทางอ้อม
  2. การศึกษาปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโลกอาจแบ่งออกเป็น 4 ส่วนดังนี้
    1. ธรณีภาค  ( lithosphers ) 
    2. อุทกภาค  ( hydrosphere )
    3. บรรยากาศ  ( atmosphere )
    4. ชีวภาค  ( biosphere )
  3. ธรณีภาค  ( lithosphers ) หมายถึง     ชั้นเนื้อโลกส่วนบนกับชั้นเปลือกโลกรวมกัน ชั้นธรณีภาคมีความหนา ประมาณ 100 กิโลเมตรนับจากผิวโลกลงไป
  4. อุทกภาค (hydrosphere ) หมายถึง ส่วนที่เป็นของเหลวหรือพื้นน้ำที่ปกคลุมผิวโลก เช่น ทะเล มหาสมุทร รวมถึงน้ำใต้ดิน ไอน้ำในอากาศและน้ำที่เป็นน้ำแข็งขั้วโลกด้วย
  5. บรรยากาศ ( atmosphere ) หมายถึง    อากาศทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเราและห่อหุ้มโลกเราไว้ โดยอยู่ในช่วง 800 - 960 กิโลเมตรจากผิวโลก ประกอบด้วย ก๊าซต่างๆ ฝุ่น ละออง เขม่า ควันไฟ เชื้อโรค รวมถึงไอน้ำในอากาศด้วย
  6. ชีวภาค  ( biosphere ) หมายถึง   สิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลกทั้งบนบก ในดิน ในน้ำ และในอากาศ เช่น มนุษย์ สัตว์ พืช
  7. โครงสร้างของโลก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนดังนี้
    1. ชั้นเปลือกโลก   ( crust )
    2. ชั้นเนื้อโลก  ( mantle )
    3. ชั้นแกนโลก  (core )
  8. เปลือกโลก ( crust )  หมายถึง   ผิวโลกชั้นนอกสุดของโลกเป็นแผ่นพิภพที่มีความหนาประมาณ   6-35 กิโลเมตร
  9. เปลือกโลก ( crust )  แบ่งย่อยได้ 2 ชั้นดังนี้  
    1. ชั้นไซอัล                          ( Sial  layer)
    2. ชั้นไซมา                           ( Sima  layer )
  10. เปลือกโลก ชั้นไซอัล ( Sial  layer)  หมายถึง เปลือกโลกส่วนบน (Upper crust)เป็นผิวของเปลือกโลก ประกอบด้วย แร่ซิลิกาเป็นส่วนใหญ่และมีอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ มีความหนาแน่นน้อย ความหนาไม่เท่ากันทั่วโลก ผิวโลกบางแห่งมีไซอัลอยู่เฉพาะตัวทวีปหรือภูเขา  ส่วนที่เป็นมหาสมุทรอาจไม่มีชั้นไซอัล ตัวอย่างของเปลือกโลกชั้นไซอัล ได้แก่ หินแกรนิต
  11. เปลือกโลก ชั้นไซมา ( Sima  layer)  หมายถึง  เปลือกโลก ส่วนล่าง (Lower crust) มีความหนาแน่นมากกว่าส่วนบน ประกอบด้วยแมกนีเซียม เหล็ก แคลเซียม และซิลิเกตเป็นส่วนใหญ่
  12. แนวแบ่งเขตเปลือกโลก ชั้นไซมา ( Sima  layer)  กับชั้นเนื้อโลก ( mantle ) คือ มอฮอรอวีชีช ( Mohorovicic Discontinuity ) เรียกย่อๆ ว่าแนวแบ่งเขต  มอฮอ( Moho )
  13. ชั้นเนื้อโลก ( mantle ) หมายถึง   เป็นชั้นที่อยู่ระหว่างเปลือกโลกกับแก่นโลก มีความหนาประมาณ 2,900 กิโลเมตร มีส่วนประกอบของแมกนีเซียมและเหล็กเป็นส่วนใหญ่ แมนเทิลเกือบทั้งหมดเป็นของ แข็ง
  14. ชั้นเนื้อโลก ( mantle )  บางครั้งเรียกเปลือกโลกชั้นนี้ว่า   ชั้นหินหนืด  แมกมา ( magma )
  15. แก่นโลก  (core ) หมายถึง โครงสร้างชั้นในสุดของโลกที่มีความหนาแน่นมากบางครั้ง เรียกว่า “แกนโลก” มีรัศมียาวประมาณ 3,486 กิโลเมตร ประกอบด้วยโลหะผสมระหว่างเหล็กและนิกเกิล
  16. แก่นโลก  (core ) แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
    แก่นโลกชั้นนอก   ( outer core )
    แก่นโลกชั้นใน      ( inner  core )
  17. แก่นโลกชั้นนอก ( outer core ) คือ ชั้นหินหลอมเหลว หรือ แมกมา ( magma ) แกนโลกชั้นนอก (outer core) มีสถานะเป็นของเหลวเนื่องจากอุณหภูมิที่สะสมเพื่อหลอมโลหะผสมเหล็กนิเกิล
  18. แก่นโลกชั้นใน ( inner core ) คือ ส่วนที่อยู่ใจกลางของโลก มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็ก และนิเกิล มีสถานะเป็นของแข็งถึงแม้ว่าจะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าแกนโลกชั้นนอกแต่เนื่องจากความกดดันที่สูงมากจากน้ำหนักของหินที่ปิดทับอยู่ด้านบนที่มากพอที่จะทำให้อะตอมมีการจับตัวกันอย่างแน่นหนาทำให้ไม่เกิดสถานะของเหลว
  19. หิน คือ   ของแข็งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสารผสมที่เกิดจากการเกาะตัวกันแน่นของแร่ ตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไป หรือ เป็นสารผสมของแร่กับแก้วภูเขาไฟ หรือ แร่กับซากดึกดำบรรพ์ หรือของแข็งอื่น ๆ
  20. หินจำแนกตามลักษณะการเกิด ได้   3  ประเภทคือ
    หินอัคนี    ( igneous  rock )
    หินตะกอน หรือ หินชั้น   ( sedimentary  rock )
    หินแปร    ( metamorphic  rock )
  21. หินอัคนี igneous  rock หมายถึง   หินที่เกิดจากการแข็งตัวของหินหนืด (magma) ใต้เปลือกโลก ไม่ว่าจะแข็งตัวอยู่ภายในเปลือกโลก หรือ พุพ้นเปลือกโลกออกมาแข็งตัวอยู่บนผิวเปลือกโลก
  22. หินชั้น หรือ หินตะกอน sedimentary  rock  หมายถึง หินที่เกิดจากกระบวนการผุกร่อนในธรรมชาติของหินเก่าชนิดต่างๆ ที่ถูกกระแสน้ำ ธารน้ำแข็งหรือลมพัดพามาทับถมกันในบริเวณหนึ่งทับถมกันเป็นเวลานานแล้วมีตัวประสานเข้าไปแทรกเกิดการตกผลึกประสานเศษหิน หรือตะกอนเข้าด้วยกันเกิดเป็นหินตะกอน
  23. หินแปร metamorphic  rock  หมายถึง หินที่เกิดจากการแปรสภาพจากหินอัคนีหรือหินตะกอน เมื่อได้รับอิทธิพลของความดันและอุณหภูมิที่สูงมากทำให้องค์ประกอบดั้งเดิมของหินเหล่านี้ จะถูกหลอมผสมเข้าด้วยกันใหม่ แล้วเกิดการตกผลึกกลายเป็นหินชนิดใหม่
  24. หินอัคนี แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
    หินอัคนีพุ  หรือ หินภูเขาไฟ หรือ หินอัคนีภายนอก extrusive igneous  rock
    หินอัคนีแทรกซอน  หินอัคนีภายใน intrusive igneous  rock
  25. หินอัคนีพุ หมายถึง  หินที่เกิดจากลาวาบนพื้นผิวโลกเย็นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลึกมีขนาดเล็ก และเนื้อละเอียด
  26. หินอัคนีแทรกซอน หมายถึง    หินที่เกิดจากหินหนืดที่เย็นตัวลงภายในเปลือกโลกอย่างช้าๆ ทำให้ผลึกแร่มีขนาดใหญ่ และเนื้อหยาบ เช่น หินแกรนิต หินไดออไรต์ และหินแกบโบร
  27. หินอัคนีพุ ได้แก่  หินบะซอลต์ (Basalt)  หินไรออไรต์  (Rhyolite)  หินแอนดีไซต์ (Andesite)  หินเพอร์ไลต์ (Perlite)   หินบอมบ์ภูเขาไฟ (Volcanic Bomb) หินบอมบ์ภูเขาไฟ (Volcanic Bomb)หินออบซิเดียน (Obsedian
  28. หินอัคนีแทรกซอน ได้แก่  หินแกรนิต (Granite)  หินแกรนิต สีชมพู (Pink Granite) หินเพกมาไทต์ (Pegmatite)  หินไดออไรต์ (Diorite)
  29. หินแปรอาจแบ่งตามต้นกำเนิดหรือหินที่เปลี่ยนแปรมา ได้ 2 ประเภท ได้แก่
    หินอัคนี    ( igneous  rock )
    หินตะกอน หรือ หินชั้น   ( sedimentary  rock )
  30. ให้นักเรียนยกตัวอย่าง หินแปรที่มีต้นกำเนิดมาจากหินอัคนี ได้แก่
    หินไนส์ (gneiss) เป็นหินที่แปรสภาพมาจากหินแกรนิต(อัคนีภายใน)
  31. ให้นักเรียนยกตัวอย่าง หินแปรที่มีต้นกำเนิดมาจากหินตะกอน ได้แก่   
    หินควอร์ตไซต์ (Quartzite) เป็นหินที่แปรสภาพมาจาก   หินทราย (Sand stone)
    หินอ่อน (Marble) เป็นหินที่แปรสภาพมาจาก หินปูน (Limestone)
    หินชนวน (Slate) เป็นหินที่แปรสภาพมาจากหินดินดาน(Shale)
  32. หินแปรแบ่งตามลักษณะโครงสร้างและเนื้อหินได้ 2 ประเภท ได้แก่
    หินแปรที่มีริ้วขนาน        foliation
    หินแปรที่ไม่มีริ้วขนาน     nonfoliation
  33. ให้นักเรียนยกตัวอย่างหินแปรที่มีริ้วขนาน   foliation  ได้แก่ หินชีสต์ (Schist) 
  34. ให้นักเรียนยกตัวอย่างหินแปรที่ไม่มีริ้วขนาน   nonfoliation  ได้แก่ หินนควอร์ตไซต์ (Quartzite) หินอ่อน (Marble)  
  35. หินชนวน (slate)  มีต้นกำเนิดมาจาก  หินดินดาน
  36. หินอ่อน (marble)  มีต้นกำเนิดมาจาก หินปูน (Limestone)
  37. หินฟิลไลต์ (phyllite) มีต้นกำเนิดมาจาก หินชนวน (Slate)
  38. หินชีสต์ (schist) มีต้นกำเนิดมาจาก  หินตะกอน(หินชนวน)  หินอัคนี  และหินแปร ที่ถูกสภาวะแปรสภาพด้วยความกดดัน และความร้อนสูง
  39. หินควอร์ตไซต์(quartzite) มีต้นกำเนิดมาจาก หินทราย (Sand stone)
  40. ให้นักเรียนเขียนวัฏจักรของหิน (rock cycle)
     

Copyright By : Chalengsak Chuaorrawan Sainampeung School
186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand
e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com
Tel; 089-200-7752 mobile
http://www.sainampeung.ac.th