หน้าแรก
โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ ฯ
กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
สารบัญ
     
หน่วยที่ 2 ปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์  
บทที่ 5 กระบวนการเกิดภูมิประเทศ  
     
  กระบวนการที่ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ  
   โลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการปรับระดับของเปลือกโลก จากการศึกษาลักษณะของเปลือกโลกและทฤษฎีต่างๆ พบว่า ปัจจัยที่ทำให้เปลือกโลกเปลี่ยนแปลงมี 3 ประการ คือ ปัจจัยที่สืบเนื่องมาจากกระบวนการจากภายนอกโลก extraterrestrial  ปัจจัยที่สืบเนื่องมาจากพลังงานที่เกิดขึ้นภายในโลก tectonic process  process และกระบวนการปรับระดับพื้นผิวโลก gradation process  ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศแบบต่างๆ ลักษณะภูมิประเทศแต่ละแบบนอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมแล้ว ยังส่งผลและมีปฏิสัมพันธ์ต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์อีกด้วย ดังนี้
   1. ความสัมพันธ์ต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นปัจจัยส่งเสริม อาทิ บริเวณที่เป็นที่ราบมนุษย์จะตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างหนาแน่น ส่วนที่เป็นอุปสรรค อาทิ ที่ราบสูงหรือภูเขามนุษย์จะตั้งถิ่นฐานอยู่เบาบาง
   2. ความสัมพันธ์ต่อสภาพแวดล้อม ลักษณะภูมิประเทศมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมใน 2 ลักษณะ ดังนี้
       2.1 ความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ ภูมิประเทศแบบภูเขามักจะเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรแร่ธาตุ มีป่าไม้ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เป็นต้นกำเหนิดของแม่น้ำลำธาร
       2.2 ความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ อาทิ ที่ยอดเขามีระดับอุณหภูมิต่ำกว่าเชิงเขา บริเวณขั้วโลกจะมีภูมิอากาศหนาวเย็น บริเวณศูนย์สูตรมักมีภูมิกากาศร้อนชื้น
 
     
  กระบวนการสำคัญที่ส่งผลให้เกิดลักษณะภูมิประเทศของโลกทำให้พื้นผิวโลกและเปลือกโลกเปลี่ยนแปลงมีอยู่ 3 กลุ่ม ดังนี้  
  1. ปัจจัยที่สืบเนื่องมาจากกระบวนการจากภายนอกโลก extraterrestrial   
  2. ปัจจัยที่สืบเนื่องมาจากพลังงานที่เกิดขึ้นภายในโลก tectonic process  process  
  3.กระบวนการปรับระดับพื้นผิวโลก gradation process   
   
  3.กระบวนการปรับระดับพื้นผิวโลก gradation process   
  กระบวนการปรับระดับผิวแผ่นดิน
         กระบวนการปรับระดับผิวแผ่นดินเป็นการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกอย่างช้า ๆ ทำให้ระดับพื้นผิวโลกมีระดับราบ หรือลาดสม่ำเสมอ อันเนื่องมาจากตัวการทางธรรมชาติที่สำคัญ เช่น น้ำไหล ลม ธารน้ำแข็ง คลื่น และกระแสน้ำ
 
     
  3.1 การลดระดับ Degradation
เป็นกระบวนการที่ปรับส่วนที่เป็นผิวโลกให้มีระดับต่ำลง โดยมีสาเหตุใหญ่ ๆ อยู่ 3 ประการ คือ
 
     
  3.1.1. กระบวนการผุพังอยู่กับที่ Weathering Process
เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการทำลายน้ำทางกายภาพ ชีวภาพ   กระบวนทางเคมีของลมฟ้าอากาศและน้ำฝน รวมทั้งการกระทำของต้นไม้และแบคทีเรีย ทำให้หินแร่ต่าง ๆ มีขนาดเล็กลง บางส่วนก็กลายเป็นดิน กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ การผุพังอยู่กับที่เกิดขึ้นได้ 3 ประเภท คือ
 
               1. การผุพังทางกายภาพ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสมบัติทางเคมีของหิน เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
             2. การผุพังทางเคมี เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแร่ประกอบหินที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายแบบ เช่น การละลาย (solution) ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับแร่ oxidation
             3. การผุพังทางชีวะ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิต เช่น รากของพืชที่ซอกซอนรอยแยกของหินทำให้หินแตกออกมา
 
     
  3.1.2. กระบวนการกัดกร่อนชะล้าง Erosion
เป็นกระบวนการแตกสลายของชิ้นส่วนที่เกิดจาการผุพังอยู่กับที่ ซึ่งจะมีการถูกนำพาไปโดยตัวกลาง เช่น ทางน้ำไหล น้ำใต้ดิน ลม ธารน้ำแข็ง ฯลฯ 
 
     
  3.13. การถล่มของมวลสาร Mass Wasting
เป็นกระบวนการที่ทำให้ชิ้นส่วนของหินที่เกิดอยู่กับที่เคลื่อนย้ายหรือถล่มไปตามความลาดเอียง ซึ่งอาศัยแรงดึงดูดของโลก ไม่ต้องอาศัยตัวกลางนำพา 
 
     
  3.2 การเพิ่มระดับ Aggradation
เป็นกระบวนการปรับระดับของผิวโลกให้สูงขึ้น อาจจะเกิดจากการทับถมของตะกอนที่ถูกตัวกลางนำพามา เช่น ทางน้ำไหล คลื่น ลม ธารน้ำแข็ง ฯลฯ หรืออาจรวมถึงอิทธิพลของสิ่งมีชีวิตที่มีการทำให้เกิดการเพิ่มระดับ
 
     
  กระบวนการที่ทำให้เกิดการปรับระดับผิวแผ่นดิน  
            1. การผุพัง Weathering คือ การที่หินผุพังทำลายลงอยู่กับที่ มีตัวกระทำ จากลมฟ้าอากาศ สารละลาย และรวมทั้งการกระทำของต้นไม้ แบคทีเรีย ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ มีการเพิ่มอุณหภูมิและลดอุณหภูมิสลับกัน  
     
            2. การกร่อน Erosion หมายถึง กระบวนการที่ทำให้สารเปลือกโลกหลุด ละลายไป หรือกร่อนไป โดยมีการเคลื่อนที่กระจัดกระจายไปจากที่เดิม   ต้นเหตุ คือ ตัวการธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ ลมฟ้าอากาศ กระแสน้ำ ธารน้ำแข็ง การครูดถู ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง  
     
            3. การพัดพา Transportation  หมายถึง การเคลื่อนที่ของมวลหิน ดิน ทราย โดยกระแสน้ำ กระแสลม หรือธารน้ำแข็ง พัดพาวัตถุไป ภายใต้แรงดึงดูดของโลก   อนุภาคขนาดเล็กจะถูกพัดพาให้เคลื่อนที่ไปได้ไกลกว่าอนุภาคขนาดใหญ่  
     
            4. การทับถม Deposit  เกิดขึ้นเมื่อตัวกลางซึ่งทำให้เกิดการพัดพา เช่น กระแสน้ำ กระแสลม หรือธารน้ำแข็ง อ่อนกำลังลงและยุติลง ตะกอนที่ถูกพัดพาจะสะสมตัวทับถมกันเป็นชั้นๆ   ทำให้ภูมิประเทศสูงขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิ ความกดดัน ปฏิกิริยาเคมี และเกิดการตกผลึก   ตะกอนที่อยู่ชั้นล่างจะมีความหนาแน่นสูงและมีเนื้อละเอียดกว่าชั้นบน เนื่องจากแรงกดดันซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำหนักตัวทับถมกัน  
     
   3.2.1 ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการปรับระดับผิวแผ่นดิน  
  1. ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทำของน้ำและแม่น้ำ  
            การกร่อน การพัดพา และการทับถม เป็นกระบวนการของแม่น้ำที่มีผลต่อลักษณะภูมิประเทศ โดยวิลเลียมเอ็ม. เดวิส William M. Davis นักธรณีวิทยาชาวอเมริกันได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงของลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทำของแม่น้ำไว้ ดังนี้  
  1. แม่น้ำระยะเริ่มแรกหรือวัยอ่อน young age ลักษณะภูมิประเทศร่องน้ำจะมีความชันมาก มีหุบเขาลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันมาก เป็นรูปตัววี V- shape valley น้ำจะไหลแรง จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ตามโครงสร้างลักษณะภูมิประเทศของหินเปลือกโลก บริเวณท้องน้ำจะขรุขระมีเกาะแก่งมาก อาจมีน้ำตก waterfallถ้าภูมิประเทศมีความต่างระดับกัน เพราะเป็นหน้าผา ภูมิประเทศจากการกระทำของแม่น้ำในวัยนี้ม่ปรากฏที่ราบน้ำท่วมถึง  
   
     
  2. แม่น้ำวัยหนุ่ม mature age น้ำเริ่มไหลช้าลงและมีลักษณะคดเคี้ยว แม่น้ำจะกัดเซาะบริเวณตลิ่งมากขึ้น เริ่มปรากฏที่ราบน้ำท่วมถึงในบริเวณนี้ เมื่อระยะเวลาผ่านไป ความแรงของกระแสน้ำที่กัดเซาะตลิ่ง ทำให้หุบเขาขยายตัวออกทางด้านข้าง ความลาดชันลดลง เริ่มมีการตกตะกอนของเศษหินตามท้องน้ำ หุบเขาจากรูปตัววี V- shape valley ของแม่น้ำ เริ่มกลายไปรูปตัวยู U - shape valley แม่น้ำจะไหลคดเคี้ยว เริ่มปรากฏที่ราบน้ำท่วมถึง Flood plain ในบางบริเวณ  
   
     
  3.แม่น้ำวัยชรา old age น้ำไหลช้ากว่าวัยหนุ่มและเกิดที่ราบน้ำท่วมถึงเป็นบริเวณกว้างจากการขยายตัวของแม่น้ำ แม่น้ำจะไหลโค้งมากขึ้น มีการตกตะกอนของวัตถุทำให้ท้องน้ำตื้น เกิดพื้นที่ราบน้ำท่วมถึง Flood plain บางส่วนของแม่น้ำเกิดการไหลเปลี่ยนทิศทาง ตัดตรง ทำให้เกิดภูมิประเทศ เป็นที่ราบบริเวณกว้าง ส่วนเส้นทางน้ำเดิมที่ถูกตัดขาด กลายเป็น ทะเลสาบรูปแอก oxbow lake บริเวณที่เป็นที่ราบน้ำท่วมถึง ในระยะสุดท้ายของลุ่มน้ำจะกลายเป็นที่ราบหรืออาจมีเนินเขาสลับกับที่ราบ บางบริเวณอาจมีภูเขาเหลืออยู่ เรียกว่า เขาโดด monadnock  
   
     
  จากการกระทำของน้ำหรือแม่น้ำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศต่างๆ ดังนี้  
  1. แก่ง rapids คือ ลักษณะของธารน้ำหรือแหล่งน้ำที่มีโขดหินหินก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ กระจายโผล่ขึ้นมากลางแหล่งน้ำ ขวางกั้นตามท้องน้ำโดยที่ลักษณะฃองหินที่โผล่ขึ้นมากลางแหล่งน้ำจะมีลักษณะแตกต่างกัน ในบางครั้งทำให้กีดขวางการจราจรทางน้ำ  
     
  2. น้ำตก waterfall ลักษณะภูมประเทศที่เกิดจากลำธาร ไหลผ่านบริเวณที่มีความลาดชัน มีการเปลี่ยนระดับ หรือ เกิดความแตกต่างของระดับธารน้ำ ทำให้ลักษณะการไหลของลำน้ำเปลี่ยนแปลงไป น้ำตกอาจไหลตกลงมาจากที่สูงหรือไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ก็ได้  
     
  3. หุบผาชัน canyon เกิดจากการกัดเซาะของน้ำบริเวณท้องน้ำอย่างรวดเร็วจนเป็นร่องลึก เหลือหน้าผาสูงชันทั้งสองด้าน  
     
  4. ถ้ำ cave มักพบมากในบริเวณที่ภูเขามีลักษณะเป็นหินปูน ซึ่งน้ำใต้ดินและน้ำฝนที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนจะค่อย ๆ กัดกร่อนหินปูนให้กลายเป็นช่องหรือโพรงขนาดใหญ่ และพัฒนามาเป็นถ้ำ และในถ้ำยังพบหินงอก stalagmite และหินย้อย stalactite  
     
   5. ที่ราบน้ำท่วมถึง Flood plain เป็นที่ราบลุ่มที่อยู่ตามฝั่งของแม่น้ำในระยะวัยหนุ่มและวัยชรา เกิดจากการทับถมของตะกอนในช่วงน้ำหลาก ทำให้น้ำตื้นเขินเกิดเป็นที่ราบ  
     
  6. ตะกอนน้ำพารูปพัด alluvial fan เกิดจากการสะสมตัวของตะกอน จากทางน้ำที่ไหลจากหุบเขาชันลงสู่พื้นราบ เมื่อความเร็วของกระแสน้ำลดลงจนไม่สามารถนำพาตะกอนบางส่วนต่อไปได้ ตะกอนดังกล่าวจึงตกสะสมบริเวณใกล้กับเนินเขาในลักษณะที่กระจายออกไปรอบข้างเป็นรูปพัด ตะกอนประกอบด้วยชั้นทรายสลับกับชั้นกรวดและดินเคลย์ ที่แยกกระจายออกไปรอบข้างเป็นรูปพัด ถ้าตะกอนสะสมตัวพูนสูงขึ้นจนเป็นรูปกรวยผ่าครึ่งตามยาว เรียกว่า เนินตะกอนน้ำพารูปกรวย ถ้าตะกอนส่วนใหญ่มีเนื้อหยาบ เรียกว่า เนินตะกอนหยาบรูปกรวย  
   
     
  7. ดินดอนสามเหลี่ยม delta หรือ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ river delta จะเกิดกับแม่น้ำที่พัดพาเอาตะกอนขนาดเล็ก ๆ จำพวกทรายละเอียดและโคลนมากับลำน้ำเป็นปริมาณมาก แล้วมาตกตะกอนทับถมกันบริเวณปากแม่น้ำ เมื่อแม่น้ำไหลลงสู่ทะเลหรือทะเลสาบ ความเร็วของน้ำในแม่น้ำจะลดลงและตะกอนที่แม่น้ำพัดมาจะค่อย ๆ สะสมตัวบริเวณดังกล่าว ในกรณีที่กระแสน้ำขึ้นลงไม่ส่งอิทธิพลรุนแรง แม่น้ำก็จะพัดพาเอาตะกอนมาสะสมอยู่เรื่อย ๆ โดยทรายหยาบจะตกตะกอนลงเป็นพวกแรกและนาน ๆ เข้าก็จะปรากฏเป็นสันทรายบริเวณปากแม่น้ำ ในที่สุดแม่น้ำก็จะแตกแขนงออกเป็นสองสาขาในเวลาต่อมา แม่น้ำทั้งสองสาขาก็จะถูกปิดกั้นด้วยสันทราย ทำให้สาขาแม่น้ำแตกออกเป็นสาขาลำน้ำย่อยลงไปอีก ดินดอนโดยทั่วไปมักมีสาขาของลำน้ำที่แตกแขนงจากแม่น้ำใหญ่ โดยปกติแล้วแม่น้ำทุกสายที่ไหลลงทะเลหรือทะเลสาบจะมีดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเกิดขึ้นเสมอ ที่เราเรียกกันว่า "เดลต้า" delta เพราะว่าบริเวณดังกล่าวมีรูปร่างคล้าย สามเหลี่ยม ซึ่งถึงแม้ว่าดินดอนจะไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมนักภูมิศาสตร์โดยทั่วไปก็เรียกว่า "delta" เช่น ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระ ในประเทศไทย ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำคงคา ในอินเดียและบังคลาเทศ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีสในอิรัก ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เดลต้าปากแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์  
   
     
  2. ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทำของลม  
  การกระทำของลมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลก ได้แก่ การกร่อน การพัดพา และการทับถม ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศแบบต่าง ๆ เช่น  
              1. แอ่งในทะเลทราย ลมจะพัดพาเอาวัตถุที่อยู่ตามพื้นผิวดินหรือทะเลทรายขึ้นมา จนทำให้เกิดแอ่งขนาดเล็ก
             2. เขาโดดในทะเลทราย inselberg เกิดจากการกร่อน โดยลมกระทำต่อภูเขาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในทะเลทรายจนทำให้รูปร่างเปลี่ยนแปลงไป
             3. เนินทรายหรือสันทราย sand dune เกิดจากลักษณะแผ่นดินที่ตั้งขวางทิศทางลม ทำให้ลมพัดทรายละเอียดมาทับถมกันบริเวณด้านหน้าของสิ่งที่กั้นขวาง
             4. ดินเลิสส์ loess หรือ ดินลมหอบ เกิดจากลมพัดพาตะกอนดินมาจากเขตพื้นที่แห้งแล้งมาทับถมกัน
 
     
  3. ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทำของธารน้ำแข็ง  
  ธารน้ำแข็งเกิดจากหิมะ ที่ตกทับถมและจับตัวเป็นเนื้อเดียวกัน หิมะเหล่านี้ เกิดขึ้นเนื่องจาก ไอน้ำในอากาศเปลี่ยนสถาวะเป็นผลึกน้ำแข็งเล็กๆ ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า จุดเยือกแข็ง ตามแนวระดับต่ำสุดของพื้นที่ ทีอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ทำให้พื้นที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี หรือที่เรียกว่า เส้นขอบหิมะ  SNOW LINE  สามารถพบ แนวหิมะ ตามละติจู และเขตเทือกเขาสูงที่แตกต่างกัน  
     
  ในเขตละติจูดสูง บริเวณขั้วโลก เส้นขอบหิมะ            จะอยู่ระดับน้ำทะเล  
     
  ในเขตละติจูดกลาง บริเวณใกล้ขั้วโลก เส้นขอบหิมะ      จะอยู่ใกล้ระดับน้ำทะเล  
     
  ในเขตละติจูดต่ำ บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร เส้นขอบหิมะ      จะอยู่สูงขึ้นไป ประมาณ 15,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งละติจูด และ ความสูงของเทือกเขา ตลอดจนระดับขอบหิมะจะต่ำลง หรือ สูงขึ้น ขึ้นอยู่กับฤดูกาลด้วย อาทิ ในฤดูหนาว    SNOW LINE จะอยู่ต่ำลงมา ส่วนฤดูร้อน     SNOW LINE จะอยู่สูงขึ้นไป  
     
  ธารน้ำแข็งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้  
               1. ธารน้ำแข็งหุบเขา valley glacier  
               2. ธารน้ำแข็งภาคพื้นทวีป continental glacier  
     
  1. ธารน้ำแข็งหุบเขา valley glacier เป็นน้ำแข็งที่เกิดจากการสะสมตัวของหิมะแล้วไหลลงมาตามหุบเขา ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศรูปแบบต่าง ๆ เช่น  
               เซิร์ก cirque เป็นคำภาษาฝรั่งเศส คือลักษณะภูมิประเทศไหล่เขาชัน รูปอัฒจันทร์โค้ง หรือ แอ่งรูปครึ่งวงกลม ในบริเวณหน้าผาชัน พบบริเวณตอนยอดของธารหิมะ เกิดจากธารน้ำแข็งกัดเซาะไหล่เขาให้เป็นแอ่งลึกเข้าไป เมื่อธารน้ำแข็งละลาย บริเวณแอ่งมีน้ำขังอยู่จะมีลักษณะเป็นทะเลสาบ เรียกว่า ทาร์น tarn  
   
               อาแรต arête อยู่ระหว่างแอ่งเซิร์ก 2 แห่ง มักมีลักษณะสันเขาหยักแหลม ๆ เหนือระดับหิมะเกิดขึ้นเนื่องจาก การเกิด เซิร์ก ในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ลาดเขา ที่มีธารน้ำแข็งกัดเซาะ จึงทำให้หินแตกพังทะลาย ขอบแอ่งมีลักษณะคล้ายสันมีด หรือ อาจเกิดจากเซิร์กหรือ แอ่ง 2 แอ่ง เกิดใกล้กัน จนขอบแอ่งหน้าผา 2 ด้านประกิบติดกัน ทำให้เกิดมีลักษณะเป็นสันขึ้นมา  
   
               ฮอร์น horn คือบริเวณที่มีแอ่งเซิร์ก 3 แอ่ง หรือมากกว่านั้นหันหลังชนกัน จะเกิดยอดเขาแหลมรูปพีระมิดสูง เกิดขึ้นเนื่องจาก การกระทำของธารน้ำแข็ง เป็นจำนวนมากที่ไหลจากภูเขา และ ขูดกัด ลาดเขาให้เป็นแอ่งลึก ทำให้เหลือบริเวณ ตรงกลางและสันเขาโดยรอบสูงชัน คล้ายรูปปิรามิด ด้วยเหตุนี้ จึงอาจเรียก ได้อีกชื่อ หนึ่ง ว่า ยอดเขารูปปิรามิด ภูเขารูปทำนองนี้ มักจะมีคำว่า ฮอร์น อยู่ด้วย อาทิ เวตเตอร์ฮอร์น   Weter horn ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์    แมทเทอร์ฮอร์น Matterhorn หินทรงพีระมิดที่สูงเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเทือกเขาแอลป์อันลือลั่น ด้วยความสูง 4,447 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และรูปทรงสามเหลี่ยมพีรามิด ณ จุดบนสุดของยอดเขา   
   
  หุบเขาธารน้ำแข็ง glacial trough คือบริเวณหุบเขาที่มีลักษณะลึกและกว้าง ขอบสูงชันคล้ายตัวยู U-Shape valley   ถ้าหุบเขานี้ เกิดบนภูเขาที่ตั้งอยู่ติดริมฝั่งทะเล
มีลักษณะเป็นหุบเขาแคบ ๆ มีหน้าผาสูงชัน พื้นที่หุบเขาอาจอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เมื่อธารน้ำแข็งละลาย ทำให้น้ำทะเลไหลท่วมเข้าไป จึงทำให้เกิดเป็นอ่าวเล็กๆ มีลักษณะแคบและยาวลึกเข้าไป ในระหว่างหน้าผาสูงชัน ลักษณะแบบนี้เรียกว่า ฟยอร์ด fiord จะพบลักษณะภูมิประเทศแบบนี้ เช่น บริเวณชายฝั่งตะวันตกของ คาบสมุทรสแกนดิเนเวียร์ ประเทศนอร์เวย์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศชิลี  สก็อตแลนด์   ไอซแลนด์   เกาะกรีนแลนด์  นิวฟันด์แลนด์  คาบสมุทรลาบราดอร์   รัฐวอชิงตัน   อะแลสกา บริติชโคลัมเบีย
 
     
  2. ธารน้ำแข็งภาคพื้นทวีป continental glacier พบอยู่บนภาคพื้นทวีปในเขตละติจูดสูง ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดขึ้นมักเกิดจากการกร่อน พัดพา และการทับถม  
  ลักษณะภูมิประเทศ ที่เกิดจากการทบถมของธารน้ำแข็ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทธารน้ำแข็งทวีป หรือพืดน้ำแข็งมีหลายรูปแบบต่างๆกัน อาทิ  
     
             ทะเลสาบธารน้ำแข็ง glacier lake เกิดจากการกัดกร่อนของธารน้ำแข็งจนทำให้เป็นหลุม เมื่อธารน้ำแข็งละลาย จึงมีน้ำขังอยู่ จึงกลายเป็นทะเลสาบ ตัวอย่าง อาทิ ทะเลสาบในประเทศฟินแลนด์ ทวีปยุโรป ทะเลสาบในประเทศแคนาดา ทวีปอเมริกาเหนือ  
     
              แพเศษหินธารน้ำแข็ง    Moraine    คือเศษหินที่แตกหลุดออกมาจากเขาหินสองฟากฝั่งธารน้ำแข็ง ลงมาสะสมอยู่บนธารน้ำแข็งที่อยู่เบื้องล่าง เมื่อธารน้ำแข็ง เคลื่อนตัวลงสู่ที่ต่ำ ก็พาเอาเศษแพหินเล่านี้ลอยไปด้วย แพเศษหินที่เยียดยาวเป็นแนวตามขอบซ้าย ขวา ของธารน้ำแข็ง เรียกว่า แพเศษหินธารน้ำแข็งข้างธาร La-Teral Moraine ถ้าธารน้ำแข็งสองธารไหลมาบรรจบกัน แพเศษหินข้างธารของธารหนึ่งเคลื่อนมารวมเข้ากับแพเศษหินของอีกธารหนึ่ง ทำให้กลายเป็น แพเศษหินกลางธาร Medial Moraine แพเศษหินธารน้ำแข็งที่ตกจมอยู่ปลายธารน้ำแข็งซึ่งละลาย เรียกว่า สิ่งตกจมพื้นธารน้ำแข็งปลายธาร Terminal Morainr กลายเป็นที่ราบเศษหินธารน้ำแข็ง  
     
   ที่ราบเศษหินธารน้ำแข็ง outwash plain เกิดจากเศษดินเศษหินที่ธารน้ำแข็งพัดพามาทับถมมักพบในบริเวณปลายธารน้ำแข็ง  
     
              เนินกรวดท้ายธารน้ำแข็ง Esker คือเนินกรวดที่มีลักษณะเป็นสันซึ่งคดเคี้ยวท้ายเรียว ไปมาของทรายและกรวด เกิดขึ้นเนื่องจากตอนท้ายธารน้ำแข็ง มีน้ำแข็งละลายไหลเป็นช่องอยู่ภายใต้ และได้นำพาเอากรวดทรายไปทับถมกันเป็นชั้นตามขนาด ลักษณะเป็นแนวยาว สะสมตัว จากทางน้ำที่ไหลอยู่ในโพรง ใต้ธารน้ำแข็ง สูงประมาณ 3-15 เมตร อาจสูงได้ถึง 30 เมตรในบางครั้ง และอาจยาวได้ถึง 160 กิโลเมตร กว้างเพียง 2-3 เมตรจะปรากฏอย่างชัดเจนต่อเมื่อธารน้ำแข็งละลายไปหมดแล้ว เรียกภูมิประเทศแบบนี้ว่า เนินกรวดท้ายธารน้ำแข็ง หรือ เอสเกอร์ Esker  
     
  4. ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทำของคลื่นและกระแสน้ำ  
  การกระทำของคลื่นและกระแสน้ำที่ก่อให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่ การกร่อน การพัดพา และการทับถม ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญ เช่น  
     
               1. แหลม cape และอ่าว bay ส่วนหินแข็งที่ยื่นออกไปในทะเล เรียกว่า แหลม ส่วนบริเวณที่ถูกกัดเซาะเว้าเข้าไปในแผ่นดิน เรียกว่า อ่าว
             2. หน้าผาสูงชันริมทะเล sea cliff และโพรงหินชายฝั่ง sea cave เกิดจากการกัดเซาะของคลื่น ทำให้เกิดเป็นหน้าผาสูงชัน ถ้าบริเวณหน้าผาชายทะเลถูกคลื่นกัดเซาะบริเวณฐานของหน้าผา เรียกว่า โพรงหินชายฝั่ง
             3. ซุ้มหินชายฝั่ง sea arch มักเกิดขึ้นบริเวณหัวแหลม โดยกระแสน้ำจะกัดเซาะจนทำให้เกิดเป็นโพรงหิน เมื่อโพรงนี้ทะลุจะมีเป็นลักษณะเหมือนสะพานโค้งอยู่เหนือน้ำ
             4. หาดทราย beach เกิดขึ้นจากการทับถมของกรวดทรายที่คลื่นพัดพามา
             5. สันดอน bar เกิดจากคลื่นและกระแสน้ำพัดพาเอากรวด ทรายมาทับถมขวางทางไว้ เมื่อนานเข้าจะปรากฏเป็นเนินสูงพ้นจากพื้นน้ำ
             6. ที่ราบชายฝั่ง coastal plain เกิดจากคลื่นและกระแสน้ำพัดพาเศษวัตถุจากทะเลเข้ามาทับถมไว้ที่ชายฝั่ง ทำให้เกิดเป็นที่ราบ
 
     
     
     
     

Copyright By : Chalengsak Chuaorrawan Sainampeung School
186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand
e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com
Tel; 089-200-7752 mobile
http://www.sainampeung.ac.th