หน้าแรก
โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ ฯ
กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม

สารบัญ

     
หน่วยที่ 2 ปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์  
บทที่ 4 หินเปลือกโลก Rock  
     
  คือมวลของแข็งที่ประกอบไปด้วยแร่ชนิดเดียวกัน หรือหลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติ ที่เกิดจากการเกาะตัวกันแน่นของแร่ตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไป หรือ เป็นสารผสมของแร่กับแก้วภูเขาไฟ หรือ แร่กับซากดึกดำบรรพ์ หรือของแข็งอื่น ๆ เนื่องจากองค์ประกอบของเปลือกโลกส่วนใหญ่เป็นสารประกอบซิลิกอนไดออกไซด์ SiO2 ดังนั้นเปลือกโลกส่วนใหญ่มักเป็น แร่ตระกูลซิลิเกต และ แร่ตระกูลคาร์บอเนต เนื่องจากบรรยากาศโลกในอดีตส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์  ในชั้นบรรยากาศลงมาสะสมบนพื้นดินและมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตอาศัยคาร์บอนสร้างธาตุอาหารและร่างกาย แพลงตอนบางชนิดอาศัยซิลิกาสร้างเปลือก เมื่อตายลงทับถมกันเป็นตะกอน หินส่วนใหญ่บนเปลือกโลกจึงประกอบด้วยแร่ต่างๆ อาจแบ่งเป็น 2 ตระกูลข้างต้น  
   
  หินเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ศึกษาวิชาภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะ ภูมิศาสตร์กายภาพ ควรจะมีความเข้าใจ เพราะมีพื้นที่บนผิวเปลือกโลกจำนวนไม่น้อยที่หินปรากฏให้เห็น ถึงแม้หินอาจจะอยู่ลึกลงไปในดิน แต่โครงสร้างการวางตัวของหินมีอิทธิพล ต่อสภาพภูมิประเทศยอ่างมาก อาทิ บริเวณที่มีหินโก่งตัว ภูมิประเทศจะมีลักษณะของภูเขาสลับหุบเขา หรือ ในบริเวณที่ชั้นหินวางตัวในแนวนอน และถูกกัดเซาะโดยแม่น้ำ ส่วนที่เหลืออยู่จะเป็นภูเขา ที่มียอดแบน หรืออาจเป็นที่ราบสูง ความแข็งแกร่งของหินที่ทนทานต่อความสึกกร่อน ก็มีผลต่อภูมิประเทศ อาทิ บริเวณที่เป็นหินแกร่งมักจะเป็นชะโงกเขา ส่วนที่สึกกร่้่อนงานจะเป็นแอ่งหรือหุบเขา หรือดินที่มีสินแร่เหล็กอยุ่มากมักจะเป็นดินสีแดง อย่างไรก็ตามลักษณะภูมิประเทศ อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ อาทิ ลมฟ้าอากาศ การกระทำจากภายในโลก เป็นต้น  
     
  แร่ประกอบหิน  
  1. ตระกูลซิลิเกต  
  1. เฟลด์สปาร์ Feldspar เป็นกลุ่มแร่ที่มีมากกว่าร้อยละ 50 ของเปลือกโลก ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของหินหลายชนิดในเปลือกโลก เฟลด์สปาร์มีองค์ประกอบหลักเป็นอะลูมิเนียมซิลิเกต รูปผลึกหลายชนิด เมื่อเฟลด์สปาร์ผุพังจะกลายเป็นอนุภาคดินเหนียว Clay minerals  
     
  2. ควอรตซ์ Quartzite เป็นซิลิกาไดออกไซด์ SiO2 บริสุทธิ์  มีรูปผลึกทรงหกเหลี่ยมยอดแหลม มีอยู่ทั่วไปในเปลือกทวีป แต่หาได้ยากในเปลือกมหาสมุทรและแมนเทิล เมื่อ ควอรตซ์ผุพังจะกลายเป็นอนุภาคทราย Sand ควอรตซ์ มีความแข็งแรงมาก ขูดแก้วเป็นรอย  
     
  3. ไมก้า   Mica เป็นกลุ่มแร่ซึ่งมีรูปผลึกเป็นแผ่นบาง มีองค์ประกอบเป็นอะลูมิเนียมซิลิเกตไฮดรอกไซด์ มีอยู่ทั่วไปในเปลือกทวีป ไมก้ามีโครงสร้างเช่นเดียวกับ แร่ดินเหนียว Clay minerals ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของดิน  
     
  4. แอมฟิโบล Amphibole group มีลักษณะคล้ายเฟลด์สปาร์แต่มีสีเข้ม มีองค์ประกอบเป็นอะลูมิเนียมซิลิเกตไฮดรอกไซด์ ที่มีแมกนีเซียม เหล็ก หรือ แคลเซียม เจือปนอยู่ มีอยู่แต่ในเปลือกทวีป ตัวอย่างของกลุ่มแอมฟิโบลที่พบเห็นทั่วไปคือ แร่ฮอร์นเบลนด์ ซึ่งอยู่ในหินแกรนิต  
     
  5. ไพร็อกซีน Pyroxene group มีสีเข้ม มีองค์ประกอบที่เป็นแมกนีเซียมและเหล็กซิลิเกตอยู่มาก มีลักษณะคล้ายแอมฟิโบล มีอยู่แต่ในเปลือกมหาสมุทร  
     
  6. โอลิวีน Olivine มีองค์ประกอบหลักเป็นแมกนีเซียมและเหล็กซิลิเกต มีอยู่น้อยมากบนเปลือกโลก กำเนิดจากแมนเทิลใต้เปลือกโลก  
     
 

2. ตระกูลคาร์บอเนต

 
  แคลไซต์ Calcite เป็นแคลเซียมคาร์บอเนต CaCO3 เป็นองค์ประกอบหลักของหินปูนและหินอ่อน โดโลไมต์ Dolomite ซึ่งเป็นแร่คาร์บอเนตอีกประเภทหนึ่ง ที่มีแมงกานีสผสมอยู่ Ca Mg(CO3)2 แร่คาร์บอเนตทำปฏิกิริยากับกรดเป็นฟองฟู่ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา   
 

          เราสามารถจำแนกหินที่อยู่บนเปลือกโลกทางธรณีวิทยาออกได้เป็น 3 พวกใหญ่ ๆ ได้แก่
1. หินอัคนี  Igneous Rocks  2. หินตะกอน Sedimentary Rocks 3. หินแปร Metamorphic Rocks

 
     
  1. หินอัคนี  Igneous rock  
 

หินที่เกิดจากการแข็งตัวของหินหนืด magma ใต้เปลือกโลก ไม่ว่าจะแข็งตัวอยู่ภายในเปลือกโลก หรือพุพ้นเปลือกโลกออกมาแข็งตัวอยู่บนผิวเปลือกโลกก็ตาม พวกแรกนั้นเรียกว่า หินอัคนีแทรกซอน intrusive igneous  rock พวกหลังเรียกว่า หินอัคนีพุ  extrusive igneous rock หินอัคนีแทรกซอนนั้น หากแข็งตัวอยู่ในระดับลึกมาก เรียกว่า หินอัคนีระดับลึก plutonic rock ถ้าอยู่ในระดับใกล้ผิวโลก เรียกว่า หินอัคนีระดับตื้น  hypabyssal rock
          การจำแนกหินอัคนี มีวิธีแบ่งเป็นกลุ่ม โดยใช้ร้อยละของซิลิกา SiO2 เป็นเกณฑ์ และยังมีพวกย่อยๆ ซึ่งให้ความสำคัญของสารประกอบของธาตุ โซเดียม หรือ โพแทสเซียม หรือ ลิเทียม มีลักษณะเด่น จัดเป็นพวกพิเศษขึ้นเรียกว่า หินแอลคาไลน์ โดยแบ่งได้ 3 วิธี ได้แก่

 
 
  1. แบ่งจากลักษณะกำเนิดว่าอยู่ลึกหรือตื้นจากผิวโลก
  2. แบ่งโดยส่วนประกอบทางแร่  
  3. แบ่งโดยผลวิเคราะห์ทางเคมี
 
     
  กระบวนการเกิดหินอัคนี : Igneous Process  
 

หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของหินหนืดหรือลาวา ซึ่งจะเย็นตัวลงแล้วตกผลึกหินหนืดที่แข็งตัวให้เปลือกโลกในระดับที่สึกจะเป็นหินพลูโทนิค  Plutonic Rock หรือเรียกว่าหินอัคนีระดับลึก จะมีเม็ดแร่ขนาดใหญ่ ลาวา หรือ หินหนืด บางส่วนที่เกิดจากการประทุของภูเขาไฟ เมื่อเย็นตัวลงบนพื้นโลกก็จะเกิดเป็นหินภูเขาไฟ Volcanic Rock จะมีเม็ดแร่ขนาดเล็กละเอียดในกรณีที่หินหนืดมีการแทรกซอนเข้าใกล้ผิวโลกแล้วเย็นตัวลง จะทำให้เกิดหินอัคนีที่มีเม็ดแร่ขนาดใหญ่ปะปนกับเม็ดแร่ขนาดเล็ก

 
     
  ลักษณะพื้นฐานของหินอัคนี  
 
  1. เม็ดแร่จะจับตัวกันแน่น Interlocking จะมีความพรุ่นต่ำ
  2. เนื้อหินจะสมานกันแน่นทั้งก้อน  Massive  ไม่พบรอยแตก
  3. แร่ในเนื้อหินจะไม่ค่อยพบกับการจัดเรียงตัว
  4. มีแร่เฟลด์สปาร์สูง และจะมีแร่เด่น คือ แร่เฟลด์สปาทอยด์ โอลิวีน โครไมต์
  5. บางส่วนในเนื้อหินจะมีแก้วธรรมชาติปะปนอยู่บ้าง
 
     
  1. หินอัคนีแบ่งออกเป็น 2 ประเภท  
  1.1 หินอัคนีพุ Extrusive igneous rock
1.2 หินอัคนีแทรกซอน Intrusive igneous rock
 
     
  1.1. หินอัคนีพุ Extrusive ingneous rocks หรือ หินภูเขาไฟ
เป็นหินหนืดที่เกิดจากลาวา บนพื้นผิวโลก   เย็นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลึกมีขนาดเล็ก และเนื้อละเอียด ได้แก่ 
หินบะซอลต์  Basalt    หินไรออไรต์  Rhyolite   หินแอนดีไซต์ Andesite    หินพัมมิซ Pumice   หินเพอร์ไลต์  Perlite   หินบอมบ์ภูเขาไฟ Volcanic Bomb  หินออบซิเดียน Obsedian
 
     
  1.1.1 หินบะซอลต์  Basalt
เป็นหินอัคนีพุ เนื้อละเอียด เกิดจากการเย็นตัวของลาวา มีสีเข้มเนื่องจากประกอบด้วยแร่ไพร็อกซีนเป็นส่วนใหญ่ อาจมีแร่โอลิวีนปนมาด้วย เนื่องจากเกิดขึ้นจากแมกมาใต้เปลือกโลก หินบะซอลต์หลายแห่งในประเทศไทยเป็นแหล่งกำเนิดของอัญมณี  พลอยชนิดต่างๆ เนื่องจากแมกมาดันผลึกแร่ซึ่งอยู่ลึกใต้เปลือกโลก ให้โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นผิว
 
   
  1.1.2 หินไรโอไลต์  Ryolite
เป็นหินอัคนีพุซึ่งเกิดจากการเย็นตัวของลาวา มีเนื้อละเอียดซึ่งประกอบด้วยผลึกแร่ขนาดเล็ก มีแร่องค์ประกอบเหมือนกับหินแกรนิต แต่ทว่าผลึกเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ ส่วนมากมีสีชมพู และสีเหลือง
 
   
  1.1.3 หินแอนดีไซต์  Andesite
เป็นหินอัคนีพุซึ่งเกิดจากการเย็นตัวของลาวาในลักษณะเดียวกับหินไรโอไรต์ แต่มีองค์ประกอบของแมกนีเซียมและเหล็กมากกว่า จึงมีสีเขียวเข้ม
 
   
  1.1.4 หินพัมมิซ   Pumice
เป็นหินแก้วภูเขาไฟชนิดหนึ่งซึ่งมีฟองก๊าซเล็กๆ อยู่ในเนื้อมากมายจนโพรกคล้ายฟองน้ำ มีส่วนประกอบเหมือนหินไรโอไลต์ มีน้ำหนักเบา ลอยน้ำได้ ชาวบ้านเรียกว่า หินส้ม ใช้ขัดถูภาชนะทำให้มีผิววาว
 
   
  1.1.5 หินเพอร์ไลต์  Perlite
มีเนื้อละเอียดเป็นแก้ว เนื่องจากเกิดจากการเย็นตัวอย่างรวดเร็วของหินหนืด  เป็นแร่องค์ประกอบร่วมกับหินไรโอไลต์ เกิดในระดับตื้น และมีการเย็นตัวอย่างรวดเร็วเป็นเนื้อแก้วที่มีอยู่ในองค์ประกอบมากกว่าหินออบซิเดียน
 
   
  1.1.6 หินบอมบ์ภูเขาไฟ  Volcanic Bomb
เป็นหินอัคนีพุมีลักษณะของเนื้อละเอียด สีเทาแก่ถึงดำ หรือน้ำตาลแก่ ส่วนมากมีรูพรุน มีลักษณะกลมมน หรือคล้ายลูกรักบี้เกิดจากการประทุของภูเขาไฟ เป็นหินหนืดที่ถูกพ่นขึ้นไป และเย็นตัวในอากาศ
แร่ที่สำคัญคือ แร่แพลจิโอเคลสเฟลด์สปาร์ และแร่สีเข้มอื่น ๆ เช่น ไพรอกซีนละเอียดมาก เฟลด์สปาร์ ฮอร์นเเบลนด์และโอลิวีนแต่ผลึกแร่เล็กละเอียดมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นและยังไม่ทำปฏิกิริยากับกรดเกลือ
 
   
  1.1.7 หินออบซิเดียน Obsedian
เป็นหินแก้วภูเขาไฟซึ่งเย็นตัวอย่างเร็วมากจนผลึกมีขนาดเล็กมาก เหมือนเนื้อแก้วสีดำ
 
   
     
  1.2. หินอัคนีแทรกซอน  Intrusive igneous rocks หรือ หินอัคนีภายใน  
            เป็นหินอัคนีที่เย็นตัวลงภายใต้พื้นผิวโลก ลักษณะของเนื้อหินอัคนีประเภทนี้มีเนื้อหยาบเป็นผลมาจากการที่หินหนืดแทรกตัวขึ้นมา บนเปลือกโลกอย่างช้าๆ ทำให้ผลึกแร่ในเนื้อหินมีเวลามากพอที่จะแยกตัวตกตะกอนได้อย่างช้าๆ ผลึกของเนื้อหินจึงมีขนาดใหญ่ หินอัคนีแทรกซ้อนสามารถจำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ  ได้แก่ 
หินแกรนิต Granite หินแกรนิต สีชมพู Pink Granite  หินเพกมาไทต์ Pegmatite  หินไดออไรต์ Diorite
 
     
  หินอัคนีแทรกซ้อนสามารถจำแนกออกเป็น
 
  พนัง Dike คือ หินอัคนีที่แทรกตัวขวางโครงสร้างของหินเดิมบางแห่งเกิดรวมกันเป็นกลุ่ม มีความกว้างประมาณ 2 -3 เมตรและยาวประมาณ 1 -2 เมตร
 
  พนังแทรกชั้น Sill พบแทรกตัวอยู่ระหว่างชั้นหินและวางตัวขนานกับแนวชั้นหินเดิม มีความหนาประมาณ 5 -10 เซนติเมตรไปจนถึงหลาย ๆ ร้อยเมตร
 
  หินอัคนีรูปเห็ด Laccolith ลักษณะคล้ายกับพนังแต่จะมีการแทรกผนังเพดานตอนบนโก่งขึ้นมาในลักษณะคล้ายโดม ส่วนมากมักจะเป็นหินจำพวกหินแกรนิต granite
 
  หินอัคนีรูปฝักบัว  Lopolith  มีขนาดใหญ่และเกิดในระดับลึก ลักษณะจะต่างจากหินอัคนีรูปเห็ด คือ จะมีการดันผนังเพดานด้านล่างลักษณะคล้ายแอ่งแอ่นลง
 
  หินอัคนีมวลไพศาล Batolith มีขนาดใหญ่มากที่สุดและเกิดในระดับที่ลึกมากมักเกิดควบคู่กับภูเขาที่เกิดจากการคดโค้งของหิน ส่วนมากจะเป็นแกนของภูเขาและวางตัวตามแนวยาวขนานไปกับภูเขา  
              
     
  1.2.1 หินแกรนิต  Granite  
  เป็นหินอัคนีแทรกซอนที่เย็นตัวลงภายในเปลือกโลกอย่างช้าๆ จึงมีเนื้อหยาบซึ่งประกอบด้วยผลึกขนาดใหญ่ของแร่ควอรตซ์ สีเทาใส แร่เฟลด์สปาร์สีขาวขุ่น และแร่ฮอร์นเบลนด์ หินแกรนิตแข็งแรงมาก ชาวบ้านใช้ทำครก เช่น ครกอ่างศิลา ภูเขาหินแกรนิตมักเตี้ยและมียอดมน เนื่องจากเปลือกโลกซึ่งเคยอยู่ชั้นบนสึกกร่อนผุพัง เผยให้เห็นแหล่งหินแกรนิตซึ่งอยู่เบื้องล่าง  
   
 

1.2.2 หินแกรนิต สีชมพู  Pink Granite

เป็นหินที่มีเนื้อหยาบหรือเป็นดอกผลึกเกาะกันแน่นเห็นได้ชัด ดูโดยทั่วไปเป็นหินสีจาง เพราะมีแร่ส่วนใหญ่เป็นแร่พวกเฟลด์สปาร์สีชมพูและ ควอร์ตซ์ เมื่อทุบดูจะเห็นผิวหน้าที่ขรุขระได้ชัดเจนเกิดจากการเย็นตัวอย่างช้า ๆ ภายใต้พื้นผิวโลก แร่ที่สำคัญคือ แร่ควอร์ตซ์ประมาณ 30% กับแร่เฟลด์สปาร์ โดยเฉพาะพวกออร์โทเคลสประมาณ 60% แร่สีเข้มประมาณ 10% ได้แก่  ฮอร์นเบลนด์ ไบโอไทต์ ทัวร์มาลีน มีแทรกกระจายอยู่โดยทั่วไปในเนื้อหิน

 
   
 

1.2.3 หินเพกมาไทต์  Pegmatite

มีลักษณะรูปร่างแบบโครงสร้างกราฟฟิค  Graphic Structure เนื้อหยาบ   กระบวนการเกิดเป็นของเหลวที่เหลือจากการตกผลึกของหินหนืดในช่วงสุดท้าย เรียกว่าสารละลายไฮโดรเทอร์มอล หรือแร่ร้อน Hydrothermal Solution สารละลายไฮโดรเทอร์มอลจะตกผลึกให้แร่ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก มีควอร์ตซ์และออร์โทเคลสเฟลด์สปาร์เป็นส่วนใหญ่ และมีไมกาบ้างเล็กน้อย บางที่ควอร์ตซ์ก็จะเกิดเป็นรูปนิ้วมืออยู่ในออร์โทเคลสเฟลด์สปาร์ แร่ที่ประกอบ เบอร์ลเลียมอะลูมินาและซิลิกา

 
 

 
 

1.2.4 หินไดออไรต์  Diorite

มีเนื้อหยาบผลึกแร่ใหญ่ค่อนข้างสม่ำเสมอ  มีสีคล้ำอาจถึงดำเพราะปริมาณแร่สีเข้มมีมากขึ้น
กำเนิดอยู่ภายใต้ผิวโลก เกิดจากหินหนืดมาเย็นตัวเป็นหินอยู่ใต้พื้นผิวโลกมีแร่ที่สำคัญคือ แร่เพลจิโอเคลสเฟลด์สปาร์ ไปโอไทต์ ฮอร์นเบลนด์ และไพรอกซีน จะไม่มีแร่ควอตซ์ปนอยู่ด้วย หรืออาจจะมีแต่น้อยมาก แร่ที่การเพิ่มมากขึ้น คือ โซดาไลม์เฟลด์สปาร์ และแร่สีเข้ม

 
                 
  2. หินตะกอน Sedimentary Rocks  
 

หินตะกอน   Sedimentary rock
หินชั้นเป็นหินที่เกิดจากกระบวนการผุกร่อนในธรรมชาติของหินเก่าชนิดต่างๆ ที่ถูกกระแสน้ำ ธารน้ำแข็งหรือลมพัดพามาทับถมกันในบริเวณหนึ่งซึ่งมักเป็นแอ่งหรือที่ราบต่ำเช่นพื้นแม่น้ำ หรือพื้นท้องทะเลเป็นชั้นๆ เศษหิน ทราย โคลนและดินเหนียวเหล่านี้จะมีการอัดตัวกันแน่นเข้าเนื่องจากการทับถมกันเป็นเวลานาน และตามช่องว่างจะมีตัวประสานเข้าไปแทรกแล้วเกิดการตกผลึกประสานเศษหิน หรือตะกอนเข้าด้วยกันเกิดเป็นหินชั้นขึ้น อย่างไรก็ดีหินชั้นเป็นหินที่เกิดการผุพังสึกกร่อนได้ง่าย จึงจัดหินประเภทนี้เป็นหินเนื้ออ่อนหินชั้นยังอาจเกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ ซึ่งเรียกว่า ฟอสซิล หรือ ซากดึกดำบรรพ์

 
     
  1.  หินดินดาน  Shale เป็นหินชั้นที่ตกตะกอนจากน้ำพัดพา เนื้อหินละเอียดมากเหมือนดินเหนียวมักจะมีชิ้นบาง ๆ ในหินชนิดนี้จะมีการพบซากดึกดำบรรพ์  Fossil ชนิดต่างๆ สีจะเป็นสีแดง น้ำตาลเหลือง เทา เขียว และดำ  
   
  2. หินปูน  Limestone เป็นหินชั้นแบบตกผลึกจากสารที่ละลายอยู่ในน้ำทะเล ลักษณะของหินมีเนื้อแน่นละเอียดทึบ สีจะมีสีขาว เทา แดง ดำ อาจจะมีซากดึกดำบรรพ์ในหินชนิดนี้ได้ ประเภทซากหอย ซากปะการัง ลักษณะเด่นภูเขาหินปูนมักมียอดหยักแหลม และมีหน้าผา แร่ ประกอบด้วยแคลไซต์
 
   
  3. หินกรวดมน  Conglomerate เป็นหินชั้นแบบตกตะกอนจากน้ำพา เนื้อหินหยาบมาก ประกอบด้วยเศษหิน หรือแร่ขนาดใหญ่ในลักษณะของกรวด กรวดมักมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 2 ซม. แร่ที่อยู่ในหินชนิดนี้เป็นแร่ ควอตซ์
 
   
  4. หินทราย  Sand stone เป็นหินชั้น แบบตกตะกอนจากน้ำพัดพา ลักษณะเนื้อหยาบ ประกอบด้วย เม็ดทราย ซึ่งเป็นแร่ควอตซ์ สีจะเป็นสีแดง น้ำตาล เทา เขียว และเหลืองอ่อน ในหินชนิดนี้มักพบซากดึกดำบรรพ์ สำหรับชนิดแร่ที่พบในหินชนิดนี้ มีแร่ควอตช์  แมกนีไทต์ และไมกา  
   
     
  3. หินแปร Metamorphic Rocks  
 

หินแปร Metamorphic rock
หินที่ถือกําเนิดขึ้นภายในชั้นเปลือกโลก โดยเปลี่ยน แปลงมาจากหินเดิมที่อาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปรก็ได้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นใน สถานะของแข็ง ไม่ผ่านการหลอมเหลว ด้วยผลจากอุณหภูมิสูง ความดันสูง หรือทั้ง 2 ประการ ใน กระบวนการนี้อาจมีสารใหม่หรือไม่มีเพิ่มเข้าไปด้วยก็ได้ หินแปรเป็นหินเนื้อแข็งเมื่อได้รับอิทธิพลของความดันและอุณหภูมิที่สูงมากลึกลงไปใต้ผิวโลก องค์ประกอบดั้งเดิมของหินเหล่านี้ จะถูกบีบอัดเข้าด้วยกันใหม่หรือพับเป็นชั้นๆ แล้วกลายเป็นหินชนิดใหม่เรียกว่า หินแปร Metamorphic Rocks หินแปร อาจแปรต่อไปอีกก็ได้

 
     
  1. หินอ่อน  Marble เป็นหินที่แปรสภาพมาจากหินปูน มีทั้งเนื้อละเอียด และเนื้อหยาบ มีสีขาวหรือสีต่างๆ นิยมใช้ทำหินประดับอาคารและนำมาแกะสลัก  เป็นหินแปรที่ไม่มีรอยขนานลักษณะของหินชนิดนี้     หินอ่อนบริสุทธิ์จะมีสีขาว แต่จะเปลี่ยนสีไปเนื่องจาก มีสารอื่นปน เช่น สีแดง เหลือง น้ำตาล ที่มีสารประกอบของเหล็กปน ถ้ามีสีเทาและดำจะมีสารอินทรีย์ปน ส่วนสีเขียวเนื่องมาจากแร่เชอร์เพนทีน และคลอไรด์ แร่ที่พบในหินชนิดนี้ ได้แก่ แคลไซด์ หรือ โคโลไมต์  
   
  2. หินควอร์ตไซต์  Quartzite  เป็นหินแปร แบบไม่มีรอยขนาน มีเนื้อเป็นเม็ดละเอียด เนื้อแน่นแข็งลักษณะเป็นหินที่แปรสภาพมาจากหินทราย เนื่องจากได้รับความร้อน และความกดดันสูงวัสดุประสานและเม็ดทรายจะเชื่อมประสานกันจนแน่น ทำให้แข็ง หินชนิดที่บริสุทธิ์ จะมี SiO2 มาก แร่สำคัญ ประกอบด้วย แร่ควอตซ ์เฟลด์สปาร์  ไมกา แปรมาจากหินทราย  ใช้ในการก่อสร้าง  
     
  3. หินชีสต์  Schist  เป็นหินแปร แบบมีรอยขนาน เนื้อหินหยาบ มีลักษณะเป็นแผ่นแร่เรียงตัวขนานกัน หินชนิดนี้ได้เกิดขึ้นเพราะได้รับความร้อนและความกดดันสูงมาก จนทำให้แร่ไมกา เป็นแผ่นใหญ่ เห็นชัดในลักษณะของเกล็ดซ้อน ๆ กันและเรียงตัวขนานกัน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแร่ไมกา คลอไรต์  ฮอร์นเบลนด์  ควอตซ์  เฟลด์สปาร์  การ์เนต แปรมาจากหินฟิลไลต์  
 

 
  4. หินไนส์  Gneiss เป็นหินที่แปรสภาพมาจากหินแกรนิต มีผลึกแร่เรียงตัวกันเป็นริ้วขนานเนื้อแน่น มีความแข็งและทนทานมาก ประกอบด้วยสารที่มีสีขาวขุ่น สีขาวใส และสีดำเป็นมัน เรียงกันเป็นริ้วขนาน ถ้ามีแร่ไบโอไทต์  ฮอร์นเบลนด์ จะมีสีเข้มถ้ามีแร่ควอตซ์  เฟลด์สปาร์ จะมีสีจาง นิยมใช้ทำโม่และครก ทำหินประดับ หินก่อสร้าง   
 

 
  5. หินชนวน  Slate เป็นหินที่แปรสภาพมาจาก หินดินดาน หรือ หินทัฟฟ์ เป็นหินมีลักษณะเนื้อละเอียดมาก ผลึกแร่ตรวจไม่พบด้วยตาเปล่า แสดงแนวแตกเรียบ และกะเทาะออกเป็นแผ่นเรียบบางได้ง่าย มีหลากสีแต่มักพบ สีเทาดํา เขียวแดง เนื้อละเอียด ผิวเรียบ เป็นมัน มีเนื้อแน่น แยกจากกันได้ เรียงกันเป็นแผ่นบางๆ แข็งกว่าหินดินดาน ประกอบด้วยแร่ไมกาและควอตซ์เป็นส่วนใหญ ใช้ทำกระดานชนวน ทำหินประดับ  ปูพื้น  มุงหลังคา ทำแผ่นอิฐปูทางเดิน      
 

 
  6. หินฟิลไลต์  Phyllite มีส่วนประกอบคล้ายหินชนวน เป็นหินเม็ดละเอียดกว่าหินชีสต์ แต่หยาบกว่าหินชนวน ผิวที่แตกใหม่จะมีลักษณะวาว แบบไหมหรือเป็นมันเงา เนื่องจากมีแร่ไมกาเม็ดละเอียดอยู่ มักเปลี่ยนมาจากหินดินดาน ด้วยความดัน มหาศาลกว่าที่หินชนวน แร่ที่เกิดขึ้นมีผลึกหยาบกว่า หินชนวนที่ถูกแปรสภาพรุนแรง จะเปลี่ยนเป็นหินฟิลไลต์  เมื่อถูกความร้อนที่มากกว่า 250 – 300 องศาเซลเซียล ทำให้คลอไลต์และไมกามีขนาดผลึกใหญ่ขึ้นเกิดจาก หินตะกอน หินอัคนี และหินแปร ที่ถูกแปรสภาพด้วยความกดดัน และความร้อนแต่น้อยกว่าหินชีสต์ สารประกอบแร่ จำพวก  แร่ควอร์ต แร่ออกไซด์ของเหล็ก แร่คลอไลต์  แร่มัสโคไวต์และแมกนีเซียม  
   
  7. หินแคลก์ – ซิลิเกต  Cale - Silicate เกิดจากการแปรสภาพจากดินดาน และหินอัคนีที่เป็นเกรดต่ำ เนื่องจากถูกความกดดันและความร้อน หินแคลก์ซิลิเกต ส่วนประกอบทางแร่ของหินแคลก์ซิลิเกตโดยทั่วไปประกอบด้วยแคลไซต์ ควอตซ์ ทรีโมไนต์ทัลก์ไดออกไซด์ โฟลโกไปต์ ฟอร์สเตอไรต์ไอโดเครส และกรอสซูลาการ์เนต หินแคลก์ซิลิเกตมักพบว่าเกิดร่วมกับหินชีสต์ และหินไนส์  
   
  หินที่แปรมาแล้วยังแปรต่อไปอีกชั้นหนึ่งก็ได้  เช่น  
หินดินดานแปรเป็นหินชนวน  หินชนวนแปรต่อไปเป็นหินฟิลไลต์    หินฟิลไลต์แปรต่อไปเป็นหินซีสต์ 
 
     
  พีท แปรเป็น ลิกไนท์  ลิกไนท์แปรเป็น ซับบีทูมินัส    ซับบีทูมินัส  แปรเป็น บีทูมินัส  บีทูมินัส  แปรเป็น  แอนทราไซต์  
 
  1. พีต Peat เป็นขั้นแรกในกระบวนการเกิดถ่านหิน ประกอบด้วยซากพืชซึ่งบางส่วนได้สลายตัวไปแล้วสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
  2. ลิกไนต์ Lignite มีซากพืชหลงเหลืออยู่เล็กน้อย มีความชื้นมาก เป็นถ่านหินที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง
  3. ซับบิทูมินัส Subbituminous มีสีดำ เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า
  4. บิทูมินัส Bituminous เป็นถ่านหินเนื้อแน่น แข็ง ประกอบด้วยชั้นถ่านหินสีดำมันวาว ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการถลุงโลหะ
  5. แอนทราไซต์ Anthracite เป็นถ่านหินที่มีลักษณะดำเป็นเงา มันวาวมาก มีรอยแตกเว้าแบบก้นหอย ติดไฟยาก ติดแล้วใให้ความร้อนสูง
 
     
  หินอัคนี   Igneous rock

หินตะกอน  Sedimentary rock

หินแปร  Metamorphic rock
  หินอัคนีพุ
Extrusive ingneous rocks
หินอัคนีแทรกซอน
Intrusive ingneous rocks
หินกรวดมน
Conglomerate
หินชนวน
Slate
  หินบะซอลต์ Basalt หินแกรนิตGranite ศิลาแลง Laterite หินฟิลไลต์ Phyllite
  หินไรออไรต์  Rhyolite หินแกรนิต สีชมพู Pink Granite  หินกรวดเหลี่ยม Breccla หินชีสต์ Schist
  หินแอนดีไซต์ Andesite  หินเพกมาไทต์ Pegmatite หินทราย Sand stone หินไนส์ Gneiss
  หินพัมมิซ Pumice หินไดออไรต์ Diorite หินดินดาน Shale หินควอร์ตไซต์ Quartzite
  หินเพอร์ไลต์ Perlite   หินโคลน Mudstone หินอ่อน Marble
  หินบอมบ์ภูเขาไฟ Volcanic Bomb   หินปูน Limestone หินแคลก์ – ซิลิเกต
Cale - Silicate
  หินออบซิเดียน Obsedian   หินเชิร์ต Chert  
      หินปูนซากดึกดำบรรพ์ Fossil Limestone  
      หินไม้กลายเป็นหิน Petrified Wood  
         
         
Copyright By : Chalengsak Chuaorrawan Sainampeung School
186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand
e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com
Tel; 089-200-7752 mobile
http://www.sainampeung.ac.th