หน้าแรก | โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ ฯ |
|
กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
|
||
สารบัญ | ||
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการค้าระหว่างประทศ |
||
หน่วยที่ 8 | เศรษฐกิจระหว่างประเทศ | |
8.1 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการค้าระหว่างประทศ | ||
การค้าเสรี Free Trade Policy | ||
นโยบายการค้าเสรี Free Trade Policy มีรากฐานมาจากาทฤษฎีต้นทุนเปรียบเทียบ (Theory of Comparative Costs) ที่เสนอว่าแต่ละประเทศควรผลิตแต่สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตได้ เปรียบผู้อื่น แล้วนำสินค้าที่ผลิตไปแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งหลักการนี้จะอำนวยประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แก่โลกทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมือง กล่าวคือ |
||
ด้านเศรษฐกิจจะช่วยให้มีการแบ่งแยกแรงงานระหว่างประเทศ (Division of Labor) โดยแต่ละประเทศจะเลือกผลิตสินค้าที่ตนผลิตแล้วมีประสิทธิภาพและช่วยให้มีการปรับประสิทธิภาพและช่วยให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ของแต่ละประเทศอยู่เสมอ อันจะช่วยให้ประชากรโลกมีโอกาสได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพสูงแต่ราคาไม่แพง ด้านสังคม ผลจากการแบ่งงานระหว่างประเทศทำให้ประชากรโลกมีมาตรฐานการครองชีพ สูงขึ้น เพราะได้ทำงานที่ตนถนัด มีรายได้ดีการเป็นอยู่จึงดีขึ้น และช่วยลดความขัดแย้งระหว่างประเทศลงได้ เพราะต่างฝ่ายก็มีความเป็นอยู่ที่ดี ด้านการเมือง จากนโยบายการค้าเสรีที่ว่าไม่มีการกีดกันโดยภาษี ไม่มีการให้สิทธิพิเศษพิเศษแก่สินค้าประเทศใดโดยเฉพาะ หรือไม่มีข้อจำกัดทางการค้าใด ๆ ระหว่างกันจะช่วยให้ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศแน่นแฟ้นขึ้น เพราะแต่ละประเทศสามารถติดต่อค้าขายกันได้ โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ต้องเลิกใช้นโยบายการค้าเสรี ด้วยเหตุผลโดยสรุป คือ |
||
1. กรณีเกิดสงคราม ทำให้ประเทศต้องผลิตสินค้าใช้เอง |
||
2. การขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ ในข้อเท็จจริงบางประเทศมีข้อจำกัดของตนเองที่ไม่สามารถส่งสินค้าออกขายได้มากพอจึงขาดแคลนเงินตราต่างประเทศที่จะใช้ซื้อสินค้าจากต่างประเทศ |
||
3. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประเทศเกษตรกรกรรมเมื่อเปรียบเทียบจะเสียเปรียบประเทศอุตสาหกรรม จึงมักจะพยายามสร้างอุตสาหกรรมภายในของตนเองพร้อมกับให้ความคุ้มครองอุตสาหกรรมที่สร้างขึ้นนั้น ซึ่งเป็นการกีดกันหรือขัดกับนโยบายการค้าเสรี |
||
4. สถานการณ์การเมืองของโลก ระบบเศรษฐกิจการเมืองของโลกปัจจุบันมีระบบที่ชัดเจน 2 ระบบคือ ระบบเสรีประชาธิปไตย กับระบบสังคมนิยมซึ่งมีหลักการต่างกันอย่างตรงกันข้ามจึงไม่อาจค้าขายกันโดยเสรีตามที่นโยบายกล่าวไว้ได้ |
||
นโยบายการค้าคุ้มกัน (Protectionism or Protective Trade Policy) |
||
จากเงื่อนไขและปัญหาของนโยบายการค้าเสรีที่ไม่อาจดำเนินการไปด้วยความราบรื่นดังกล่าว รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จึงเห็นว่าไม่ควรปล่อยให้การค้าดำเนินไปเอง รัฐควรเข้าแทรกแซงเพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของตนเอง เพราะแต่ละประเทศมีความสามารถนการผลิตแตกต่างกันหากไม่เข้าไปคุ้มครองอาจมีผลเสียได้ นโยบายการค้าคุ้มกันนี้เสนอโดยกลุ่มพาณิชย์นิยม Mercantilism ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มแรกที่เสนอโดยมีหลักสำคัญว่าประเทศต่าง ๆ ควรสะสมทองคำและเงินให้มากเพราะเชื่อว่าจะทำให้ประเทศเกิดความมั่นคั่ง Wealth ได้ เนื่องจากทองคำและโลหะเงินถือเป็นโลหะมีค่า หายาก ทุกคนย่อมอยากได้และการที่แต่ละประเทศจะมีทองคำมากได้ จะต้องทำการค้าให้มีดุลการค้าแบบได้เปรียบประเทศคู่ค้า คือ ให้มีการส่งสินค้าออกขายให้มากกว่าการสั่งสินค้าเข้า จากหลักการตามแนวคิดดังกล่าวนี้ หากปล่อยให้การค้าดำเนินไปตามยถากรรรม อาจไม่บรรลุ เป้าหมาย รัฐจึงควรเข้าไปแทรกแซงการค้าระหว่างประเทศ พร้อม ๆ กับให้ความคุ้มกันสินค้าที่ผลิตในประเทศให้มีคุณภาพเพื่อส่งไปขายให้ได้มาก และกีดกันการนำเข้าเพราะจะทำให้ต้องเสียเงินตราหรือทองคำและเงินที่เก็บสะสมไว้ได้ แนวคิดของกลุ่มพาณิชย์นิยมนี้ นักเศรษฐศาสตร์สมัยต่อมาไม่เห็นด้วย โดยเห็นว่าทองคำนั้นแท้จริงแล้วก็เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง หากสะสมไว้มากแต่การผลิตภายในประสิทธิภาพไม่ดีพอ อาจทำให้ปริมาณทองคำหรือเงินตราต่างประเทศที่มีอยู่มากก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมาได้โดยง่าย |
||
ดังนั้น ปัจจุบันประเทศต่างๆ จึงใช้นโยบายคุ้มกันด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศว่าจะใช้นโยบายทางตรง หรือ ทางอ้อม |
||
1. การตั้งกำแพงภาษี Tariff Wall เป็นมาตรการทางอ้อม คือ จัดเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าในอัตราสูงสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย เช่นเครื่องสำอาง แต่ถ้าเป็นสินค้าจำเป็น เช่น สินค้าทุนที่จะใช้ช่วยเพิ่มผลผลิตในประเทศ จะเรียกเก็บในอัตราต่ำกว่า เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของประเทศ |
||
2. การควบคุมสินค้าเข้า Quota เป็นมาตรการทางตรง คือ รัฐเข้าไปควบคุมการนำสินค้าเข้า และอาจรวมถึงการส่งออกด้วยโดยมีการจำกัดโควต้าการนำเข้าหรือส่งออกให้มีจำนวนตามที่รัฐบาลเห็นสมควรเพื่อผลดีของของบริโภคในประเทศ |
||
3. การให้การอุดหนุนแก่สินค้าออก Subsidies เพื่อให้สินค้าที่ส่งออกสามารถแข่งขันกับ สินค้าในต่างประเทศ เช่น ให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือโดยตรงหรือลดภาษีบางชนิดลง ลดค่าขนส่งให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อเงินทุน ซึ่งเป็นการอุดหนุนทางอ้อมก็ได้ |
||
4. การทุ่มตลาด Dumping หมายถึง การส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ เพื่อแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ แต่ขายในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งขัน หรือต่ำกว่าราคาที่ขายภายในประเทศเอง ซึ่งอาจทำได้ 3 ทาง คือ 4.1 ทุ่มตลาดเฉพาะกิจ Occasional Dumping เช่น เพื่อล้างสต๊อกสินค้าเก่าล้าสมัย หรือ สินค้าที่ไม่ขายภายในประเทศ เป็นต้น 4.2 การทุ่มตลาดชั่วคราว Intermittent Dumping เป็นการส่งสินค้าไปขายต่างประเทศในราคาต่ำกว่าต้นทุนผลิตต่ำกว่าราคาภายใน เพื่อแสดงหาตลาดใหม่กำจัดคู่แข่งขันหรือเพื่อตอบแทนการกระทำของคู่แข่งขันรายอื่น 4.3 การทุ่มตลาดระยะยาว Long-Period Dumping การทุ่มตลาดระยะยาวจะไม่ทุ่มในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) เหตุที่ทำให้ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะประเทศสามารถเพิ่มผลผลิตได้ มากจนต้นทุนลดลง หรืออาจได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ตามนโยบายที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ จึงให้ทุ่มตลาดได้ในระยะยาวจนกว่ารัฐบาล จะเปลี่ยนนโยบาย |
||
5. ให้มีข้อตกลงทางการค้า Commercial Treaties ซึ่งจะเกี่ยวกับด้านกงสุล ชนต่างด้าว การขนส่ง การภาษีอากร ที่สำคัญในปัจจุบันมีองค์การระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคระหว่าง ประเทศโดยเฉพาะค่ายเสรี เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ International Monetery Fund : IMF ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะการพัฒนา International Bank for Reconstruction and Development : IBRD หรือ ที่เรียกสั้น ๆ ว่าธนาคารโลก World Bank การจัดทำข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากร และการค้า General Agreement on Tariff and Trade:GATTซึ่งมีการประชุมหาข้อตกลงกันหลายรอบมากที่สุดจนปัจจุบันได้ข้อตกลงร่วมกันและเกิดเป็นองค์การค้าระหว่างประเทศในโลกขึ้นใหม่ เรียกว่า องค์การค้าโลก Word Trade Oganiztion – WTO |
||
6. การควบคุมเงินตราต่างประเทศ Exchange Control มาตรการนี้จะดำเนินการโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ควบคุมอุปสงค์และอุปทานเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็น การสกัดกั้นการไหลออกของเงินตราต่างประเทศ และพยายามดึงดูดให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้ามามากขึ้นอันจะช่วยให้นโยบายคุ้มกันดำเนินไปด้วยดี อย่างไรก็ตามการดำเนินมาตรการใด ๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรม ภายในประเทศก็ควรเป็นไปด้วยความระมัดระวัง มีการไตร่ตรองโดยรอบคอบเกี่ยวกับผลดีผลเสียที่อาจเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ |
||
Copyright By : Chalengsak
Chuaorrawan Sainampeung School 186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com Tel; 089-200-7752 mobile |
|
http://www.sainampeung.ac.th |