หน้าแรก | โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ ฯ |
|
กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
|
||
สารบัญ |
การกำหนดราคาค่าจ้าง อัตราค่าจ้างในสังคมไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง |
||
หน่วยที่ 2 | ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน | |
2.5 การกำหนดราคาค่าจ้าง อัตราค่าจ้างในสังคมไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง | ||
2.5.1 การกำหนดราคาค่าจ้าง | ||
2.5.2 การกำหนดราคาค่าจ้าง อัตราค่าจ้างในสังคมไทย | ||
2.5.3 อัตราค่าจ้างในสังคมไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง | ||
2.5.1 การกำหนดค่าจ้าง ค่าจ้าง wage หมายถึง ผลตอบแทนที่แรงงานได้รับจากการยินยอมให้ผู้ผลิตใช้บริการจากแรงงานของตน ผลตอบแทนที่แรงงานได้รับนี้อาจอยู่ในรูปค่าจ้างต่อชั่วโมง ต่อวัน ต่อสัปดาห์ หรืออาจเป็นค่าจ้างเหมาเป็นจำนวนเงินก้อนต่อชิ้นงานก็ได้ อัตราค่าจ้างที่แรงงานได้รับจะแตกต่างกันไปตามประเภทของแรงงาน จำนวนแรงงานที่มีอยู่และอื่น ๆ เป็นต้น |
||
แรงงาน หมายถึง แรงงานของมนุษย์ ปัจจัยการผลิตหนึ่ง ที่รวมถึงแรงกายและแรงใจ สมองในการคิดของมนุษย์ ความรู้ ความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ของมนุษย์ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ |
||
การกำหนดปริมาณและค่าจ้างในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง อุปสงค์และอุปทานของแรงงาน ซึ่งนำไปสู่การกำหนดค่าจ้างในระบบเศรษฐกิจ แรงงานนับว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นตัวกำหนดสถานภาพของมนุษย์ว่าจะสามารถดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างไร | ||
อัตราค่าจ้างดุลยภาพของแรงงานจะถูกกำหนดจากระดับที่อุปสงค์เท่ากับอุปทานของแรงงาน ถ้ากำหนดค่าจ้างสูงกว่าดุลยภาพ (w2) จะเกิดปัญหาอุปทานมากกว่าอุปสงค์ของแรงงานหรือเกิดอุปทานแรงงานส่วนเกิน (เกิดการว่างงาน) ถ้ากำหนดค่าจ้างต่ำกว่าดุลยภาพ (w1) จะเกิดปัญหาอุปสงค์มากกว่าอุปทานของแรงงานหรือเกิดอุปสงค์แรงงานส่วนเกิน (ขาดแคลนแรงงาน) | ||
ในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่มีการแข่งขัน Complete Competitive เป็นไปอย่างสมบูรณ์ การกำหนดปริมาณและราคาค่าจ้างแรงงานจึงเป็นไปตามกลไกราคา เช่นเดียวกับอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการทั่ว ๆ ไป เพราะในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดถือว่าแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตหนึ่ง Factor of Production ตั้งแต่ต้น แรงงานเป็นสิ่งที่มีราคาสามารถ ซื้อขาย แลกเปลี่ยนหรือโอนย้ายกันได้ตามปกติ ปริมาณและราคาค่าจ้าง จึงเป็นไปตามภาวการณ์ของอุปสงค์และอุปทานของแรงงานขณะนั้น |
||
อุปสงค์แรงงาน | ||
อุปสงค์แรงงาน หมายถึง ความต้องการของแรงงาน ในฐานะปัจจัยการผลิตที่นายจ้างหรือผู้ผลิตต้องการว่าจ้าง เมื่อมีตำแหน่งงานว่าง หรือเมื่อมีการลงทุนใหม่ หรือลงทุนขยายงานเพิ่มเติม ณ ระดับอัตราค่าจ้างต่าง ๆ ที่นายจ้าง หรือ ผู้ผลิตสามารถจะว่าจ้างได้ อุปสงค์แรงงานเป็นอุปสงค์สืบเนื่อง (Derived Demand) หมายถึง การเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป ของอุปสงค์แรงงาน เป็นผลสืบเนื่องมาจาก เหตุการณ์อื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับแรงงาน |
||
ตัวอย่าง | ||
เมื่อความต้องการของสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น จึงมีการเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อตอบสนองอุปสงค์ส่วนเกิน การเพิ่มปริมาณการผลิตก็หมายถึงการเพิ่มปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะปัจจัยการผลิตแบบผันแปร เช่น แรงงาน และทุน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าอุปสงค์ของแรงงานไม่ได้เป็นอิสระจากอุปสงค์ของสินค้าและบริการอุปสงค์ของแรงงานจะมีลักษณะดังภาพนี้ | ||
ให้แกน Y เป็นราคาของแรงงาน หรือค่าจ้าง (Wages) ส่วนแกน X เป็นปริมาณของแรงงานหรือปริมาณการจ้างงาน อุปสงค์ของแรงงานจะเหมือนกับอุปสงค์ของสินค้าทั่วไป คือจะลาดเอียง จากบนลงล่าง Slope Downward หรือจากซ้ายไปขวาเสมอ |
||
นั่นคือ | ||
ถ้าค่าจ้างแรงงานสูงหรือค่าแรงแพง อุปสงค์ของแรงงานก็มีน้อย ในทางกลับกันถ้าค่าแรงงานลดลง อุปสงค์ต่อแรงงานจะเพิ่มสูงขึ้น | ||
ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์แรงงาน |
||
1. ความสำคัญ Important หมายถึง ความสำคัญของแรงงานที่มีต่อการผลิต โดยจะพิจารณาว่า ในการผลิตสินค้าชนิดหนึ่ง ต้องใช้แรงงานมากหรือน้อย ถ้าใช้แรงงานมากถือว่ามีความสำคัญมาก อุปสงค์ก็จะเพิ่ม แต่ถ้าใช้แรงงานน้อยถือว่ามีความสำคัญน้อย อุปสงค์ก็จะลดลง |
||
2. ลักษณะของอุปสงค์ในตัวสินค้า Nature of demand for product หมายถึงอุปสงค์ในสินค้า หรือความต้องการที่มีต่อสินค้าที่กำลังผลิต เนื่องจากอุปสงค์แรงงานเป็นอุปสงค์สืบเนื่อง ดังนั้น ถ้าอุปสงค์ต่อสินค้าที่กำลังจะผลิตมีมาก อุปสงค์แรงงานก็มากตาม ในทางตรงกันข้ามถ้าอุปสงค์ต่อสินค้าที่กำลังจะผลิตมีน้อย ความต้องการแรงงานจะลดลงด้วย |
||
3. ความจำเป็น Essentiality เป็นการพิจารณาการใช้ปัจจัยการผลิตอื่น ทดแทนกัน เช่น การผลิตสินค้าชนิดหนึ่งที่ต้องใช้แรงงานคนเป็นส่วนใหญ่ และไม่สามารถใช้ปัจจัยการผลิตอื่น เช่น ทุน อันได้แก่เครื่องจักร เครื่องกล มาทดแทนได้ ดังนั้นอุปสงค์ต่อแรงงานก็มาก ในทางตรงกันข้ามถ้าสามารถใช้เครื่องจักร เครื่องกล ทำงานแทนแรงงานคนได้ อุปสงค์ของแรงงานก็จะลดลงด้วย |
||
4. การขยายตัวทางเศรษฐกิจ Economic Growth ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังเจริญก้าวหน้า ความต้องการแรงงานเพื่อตอบสนองความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมมีมากอุปสงค์ต่อแรงงานจะเพิ่มมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลัง ขยายตัว ในทางตรงกันข้าม เมื่อยามภาวะเศรษฐกิจซบเซา การสร้างงาน และการจ้างงานมีน้อย อุปสงค์ต่อแรงงานจะน้อยลง |
||
5. ผลิตภาพของแรงงาน Labor Productivity แรงงานที่มีคุณภาพมีทักษะ Skills ประสบการณ์ Experience ได้รับการฝึกอบรม Training มีแรงจูงใจ Motivation และได้รับการพัฒนา Improvements ตลอดเวลาถือว่าเป็นแรงงานที่มีผลิตภาพสูงต่อการผลิตสินค้าและ บริการ แรงงานประเภทนี้ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมาก |
||
อุปทานของแรงงาน |
||
อุปทานของแรงงาน หมายถึง จำนวนแรงงานที่ประสงค์และพร้อมที่จะทำงาน ณ ระดับค่าจ้างอัตราใดอัตราหนึ่ง ซึ่งอาจวัดเป็นต่อชั่วโมง ต่อวัน ต่อสัปดาห์ หรือต่อเดือน แรงงานแม้ว่าจะเป็นปัจจัยการผลิตหนึ่ง แต่ก็เป็นมนุษย์มีชีวิตจิตใจ ดังนั้นการตัดสินใจว่าจะขายแรงงานหรือ ไม่ บางทีก็ไม่มีแบบแผนที่แน่นอน อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างจะมีผลต่ออุปทานแรงงาน |
||
ให้แกน Y เป็นราคาของแรงงานหรือค่าจ้าง Wages ส่วนแกน X เป็นปริมาณของแรงงานหรือปริมาณการจ้างงาน อุปทานของแรงงานจะเหมือนกับอุปทานของสินค้าทั่ว ๆ | ||
กล่าวคือ | ||
อุปทานจะลาดเอียงจากล่างขึ้นบน Slope Upward หรือจากซ้ายไปขวา | ||
นั่นคือ | ||
ถ้าค่าจ้างต่ำ P1 อุปทานของแรงงานต่ำ Q1 แต่ถ้าค่าจ้างสูง P5 ระดับอุปทานแรงงานจะสูงตามไปด้วย Q5 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อุปทานของแรงงาน จะแปรตามราคาค่าจ้างนั่นเอง | ||
ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดอุปทานแรงงาน |
||
1. ค่าจ้าง Wages นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แรงงานตัดสินใจว่าจะขายแรงงานหรือไม่ ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าการทำงาน ทำให้แรงงานขาดไปซึ่งเวลาในการพักผ่อนส่วนตัว และครอบครัว ถ้าอัตราค่าจ้างสูงและแรงงานเห็นว่ามีความคุ้มค่ากว่าการพักผ่อน เขาจึงตัดสินใจขายแรงงาน โดยยอมเสียความสุขในการพักผ่อนได้น้อยลง ดังนั้นอัตราค่าจ้างจะมีผลต่ออุปทานของแรงงานมาก |
||
2. สวัสดิการ Fringe Benefit หมายถึง สิ่งตอบแทนจากการขายแรงงาน นอกเหนือจากค่าแรงงาน หรือค่าจ้าง เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ รถประจำตำแหน่ง อาหารกลางวัน เครื่องแบบ เงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ค่าจ้างเมื่อหยุดพักผ่อน หรือลาคลอด ค่ารักษาพยาบาล เงินโบนัส การไปท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือสิทธิพิเศษต่างๆ เป็นต้น สวัสดิการนับว่ามีความสำคัญต่ออุปทานแรงงาน |
||
3. การเปลี่ยนแปลงฤดูกาล มักจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทานแรงงานเพราะ จะมีการโยกย้ายแรงงานจากภาคการผลิตหนึ่งไปสู่อีกภาคการผลิตหนึ่ง เช่น ในฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาทำนา มักจะมีการอพยพโยกย้ายแรงงานจากภาคอุตสาหกรรม และบริการ ไปสู่ภาคการผลิตเกษตรกรรม ดังนั้นอุปทานแรงงานภาคการเกษตรจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรม และบริการอุปทานแรงงานก็จะลดลง เป็นต้น |
||
การกำหนดราคาค่าจ้างในตลาดแรงงาน |
||
ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม หรือเสรีนิยม ที่ระบบการแข่งขันทำงานอย่างสมบูรณ์ การกำหนดปริมาณและค่าจ้างจะกำหนดโดย นายจ้างและลูกจ้างรวมกัน เรียกว่า ระดับดุลยภาพ คือระดับที่อุปสงค์แรงงาน เท่ากับ อุปทานแรงงาน | ||
เส้นอุปสงค์แรงงาน ( D ) และเส้นอุปทานของแรงงาน ( S ) ตัดกัน ณ จุด E หรือจุดดุลยภาพ ค่าจ้างดุลยภาพที่เกิดขึ้นก็คือ P4 ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่รัฐบาลไม่ได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้แล้ว นายจ้างก็จะจ้างลูกจ้างให้ทำงาน เท่ากับ Q4 |
||
การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ |
||
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ Minimum Wages ที่กำหนดขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า ค่าจ้างที่มนุษย์ได้รับจากการขายแรงงานของตนไม่ควรต่ำจนเกินไป จนไม่เพียงพอแก่การจะดำรงชีวิตตามควรแก่ความเป็นมนุษย์ |
||
รัฐจึงเข้ามากำหนดค่าแรงขั้นต่ำ โดยความเห็นร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล แต่ในทางปฏิบัติก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร เพราะการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำอย่างน้อยที่สุด ควรจะครอบคลุมค่าครองชีพ Subsistence Level ว่าควรเป็นเท่าไร เพราะมนุษย์มีความเป็นอยู่ไม่เหมือนกัน และมาตรฐานการครองชีพควรแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น | ||
ดังนั้นโดยปกติการปรับปรุงค่าแรงงานขั้นต่ำ จึงจะต้องทำอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง | ||
ตามความคิดของนักเศรษฐศาสตร์ ได้คัดค้านการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเนื่องจากการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ หมายถึง การกำหนดค่าจ้างในตลาดแรงงานไร้ฝีมือ ให้อยู่เหนือระดับดุลยภาพ เท่ากับว่า รัฐบังคับให้ผู้ประกอบการต้องจ่ายค่าจ้างให้สูงกว่าผลิตภาพ ทำให้นายจ้างต้องจำกัดการจ้างงานให้ต่ำลง ทำให้ เกิดการว่างงาน หรือ เกิดอุปทานส่วนเกิน แรงงานที่ว่างงานเหล่านี้ เป็นคนจนที่สุดในสังคม ซึ่งจะได้รับความยากลำบาก ไม่สามารถเลี้ยงชีพอยู่ได้ ในขณะที่แรงงานอีกจำนวนหนึ่งซึ่งไร้ฝีมือเหมือนกันกลับมีค่าจ้างสูงกว่าที่ควรจะเป็น | ||
แกน Y แสดงอัตราค่าจ้าง แกน X แสดงจำนวนแรงงาน หรือ ปริมาณแรงงาน เมื่อเส้นอุปสงค์ของแรงงาน D ตัดกับเส้นอุปทานของแรงงาน S ณ จุดดุลยภาพ Equilibrium Point ค่าจ้างดุลยภาพที่เกิดขึ้นก็คือ P4 แต่ในกรณีที่มีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำโดยรัฐ P6 ซึ่งเป็นอัตรากว่าค่าจ้างดุลยภาพ นายจ้างก็จะจำกัดการจ้างงาน หรือจ้างงานเพียง Q2 จึงทำให้เกิดอุปทานส่วนเกิน ( Q2-Q6 ) หรือการว่างงานเกิดขึ้น |
||
Copyright By : Chalengsak
Chuaorrawan Sainampeung School 186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com Tel; 089-200-7752 mobile |
|
http://www.sainampeung.ac.th |