หน้าแรก
โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ ฯ
กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
สารบัญ
การกำหนดราคาในระบบเศรษฐกิจ
หน่วยที่ 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน
  2.4 การกำหนดราคาในระบบเศรษฐกิจ
   
 

ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมกลไกราคาจะเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
กล่าวคือ ราคาของสินค้าและบริการ จะเป็นเครื่องชี้ให้หน่วยธุรกิจตัดสินใจว่าจะผลิตสินค้าและบริการอะไรบ้าง อย่างไร และจำนวนมากน้อยเพียงใด ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์แล้วราคาจะถูกกำหนดมาจากอุปสงค์และอุปทานของตลาด

 
   
  2.4.1  อุปสงค์  demand
        อุปสงค์  หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคมีความเต็มใจที่จะซื้อ และสามารถซื้อหามาได้ในขณะใดขณะหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดมาให้
จากความหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการจะเกิดอุปสงค์ได้นั้น ประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำคัญ คือ
     
               1.  ความต้องการซื้อ wants ลำดับแรกผู้บริโภคจะต้องมีความอยากได้ในสินค้าหรือบริการเหล่านั้นก่อน อย่างไรก็ตาม การมีแต่ความต้องการไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ เพราะอุปสงค์จะต้องเป็นความต้องการที่สามารถซื้อได้และเกิดการซื้อขายขึ้นจริงๆ
              2.  ความเต็มใจที่จะจ่าย willingness to pay คือการที่ผู้บริโภคมีความยินดีที่จะยอมเสียสละเงินหรือทรัพย์สินที่ตนมีอยู่เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการต่างๆเหล่านั้น
มาเพื่อใช้ในการบำบัดความต้องการของตน
               3. ความสามารถที่จะซื้อ purchasing power or ability to pay ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ คือไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีความอยากได้หรือความต้องการในสินค้าหรือบริการมากน้อยเพียงใดก็ตาม ถ้าปราศจากความสามารถที่จะซื้อหรือจัดหามาแล้วการซื้อขายจริงๆจะไม่เกิดขึ้น นั่นคือ จะเป็นแต่เพียงความต้องการที่มีแนวโน้มจะซื้อ potential demand เท่านั้น ซึ่งความสามารถที่จะซื้อโดยปกติจะถูกกำหนดจากขนาดของทรัพย์สินหรือรายได้ที่บุคคลนั้นมีหรือหามาได้ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ ถ้ามีรายได้หรือทรัพย์สินมากความสามารถ ที่จะซื้อจะมีสูง ถ้ามีน้อยก็จะมีความสามารถซื้อต่ำ
 
   
                อุปสงค์    Demand    หมายถึงความต้องการของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและบริการในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้เพราะจำนวนประชากร รสนิยมในการบริโภค รายได้ที่เปลี่ยนแปลง การโฆษณา หรือปัจจัยอื่น ๆ ความต้องการซื้อสินค้า หมายถึง สินค้าและบริการที่ผู้บริโภค มีความเต็มใจที่จะซื้อ ตามปรกติหากสินค้าราคมสูง ความต้องการของผู้บริโภคจะลดลง ถ้าหากสินค้ามีราคาต่ำความต้องการของผู้บริฅโภคจะมากขึ้น เราเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “กฎของอุปสงค์” Law of Demand  
   
 

2.4.2 กฎของอุปสงค์  Law of Demand
        ภายใต้ข้อสมมติว่าปัจจัยตัวอื่นๆ ที่มีผลต่ออุปสงค์มีค่าคงที่ other-things being equal  ปริมาณอุปสงค์ของสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม (ผกผัน) กับระดับราคาของสินค้าชนิดนั้น inverse relation  กล่าวคือ เมื่อราคาลดลงปริมาณอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น และเมื่อราคาสูงขึ้นปริมาณอุปสงค์จะลดลง ลักษณะทั่วไปของเส้นอุปสงค์จึงเป็นเส้นทอดลงจากซ้ายไปขวา (สินค้าปกติ)

 
 
            
     
 

2.4.3 ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์ของสินค้านอกจากราคาของสินค้าแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ดังนี้

 
 

ราคาของสินค้า สินค้าราคาถูกผู้บริโภคจะซื้อปริมาณมาก สินค้าราคาแพงผู้บริโภคจะซื้อปริมาณน้อย (เป็นไปตามกฎอุปสงค์)Law of Demand

 
 
  1. รายได้ของผู้บริโภค ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า ในกรณีสินค้าปกติ (Normal Goods) และสินค้าฟุ่มเฟือย (Superior Goods) รายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน ส่วนในสินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods) รายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม  
   
  2. ระดับราคาสินค้าชนิดอื่น ปริมาณการเสนอซื้อสินค้าถูกกำหนดโดยราคาสินค้าชนิดอื่นด้วย เนื่องจากสินค้าที่ซื้อขายในตลาดมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ สินค้าบางชนิดสามารถใช้แทน กันได้ (Substitute goods) หรือสินค้าบางชนิดต้องใช้ร่วมกัน (complementary goods) ดังนั้น การที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งปริมาณเท่าใดต้องพิจารณาถึงราคาของสินค้าชนิดอื่นที่สัมพันธ์กันด้วย  
   
  3. รสนิยมของผู้บริโภค รสนิยมของบุคคลโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตาม อายุ อาชีพ ขนบธรรมเนียมประเพณี ระดับการศึกษา และบุคลิกส่วนตัว นอกจากนี้ยังเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ยุคสมัย ซึ่งเป็นรสนิยมของแต่ละบุคคล
ตัวอย่าง
อุปสงค์ในกางเกงยีนในกลุ่มวัยรุ่นจะมากกว่าในกลุ่มของผู้ใหญ่ (วัย) อุปสงค์ในเครื่องสำอางของกลุ่มผู้ชายจะน้อยกว่าของกลุ่มผู้หญิง (เพศ) ฯลฯ
นอกจากนี้ความนิยมในแต่ละสินค้ายังเปลี่ยนแปลงได้เร็วช้าแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสินค้าที่พิจารณา
 
   
  4. การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุปสงค์ของสินค้าเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับการคาดคะเนของผู้บริโภคแต่ละคน กล่าวคือถ้าผู้บริโภคคาดว่าในอนาคตราคาสินค้าจะสูงขึ้น ผู้บริโภคก็จะมีอุปสงค์ในสินค้าเหล่านั้นในปัจจุบันเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามถ้าคาดว่าราคาสินค้าจะลดลง ผู้บริโภคก็จะชะลอการใช้จ่ายในปัจจุบันลง นั่นคืออุปสงค์ของสินค้าเหล่านั้นในปัจจุบันจะน้อยลง  
   
  5. ขนาดและโครงสร้างของประชากร โดยปกติถ้าจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอุปสงค์ของสินค้าแทบทุกชนิดย่อมเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าจำนวนประชากรกับปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าใดๆจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น-ลดลง ความต้องการในสินค้าและบริการต่างๆก็จะเพิ่มขึ้น-ลดลงตามแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างประชากรด้วย ลักษณะโครงสร้างประชากรมีผลให้อุปสงค์ของสินค้าบางชนิดเพิ่มขึ้นและบางชนิดลดลง  
     
  6. เทศกาลหรือฤดูกาล  ฤดูหนาวคนบริโภคเสื้อกันหนาวเพิ่มมากขึ้น เทศกาลกินเจ คนบริโภคผักเพิ่มมากขึ้น วันวาเลนไทน์ คนซื้อ ดอกกุหลาบเพิ่มขึ้น  ปีใหม่คนซื้อของขวัญเพิ่มขึ้น  
     
  7. ปัจจัยอื่นๆ การที่ผู้บริโภคจะมีอุปสงค์ต่อสินค้ายังขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย อาทิ วัฒนธรรม ประเพณี ตัวอย่าง ผู้บริโภคที่นับถือศาสนาอิสลามจะไม่มีอุปสงค์ในเนื้อหมูเลย หรือผู้บริโภคที่เป็นชาวจีนส่วนใหญ่จะไม่นิยมการบริโภคเนื้อวัว ทำให้ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในเนื้อวัวมีน้อย ฯลฯ   อุปนิสัยในการใช้จ่าย ลักษณะการจัดเก็บภาษีของรัฐ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น  
   
  2.4.4 พฤติกรรมการบริโภคกับทฤษฎีอรรถประโยชน์     
  พฤติกรรมการบริโภคก็เป็นตัวกำหนดหรือมีอิทธิพลต่อปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าและบริการต่างๆ   ซึ่งมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภค  คือ ทฤษฎีอรรถประโยชน์
คำว่า  อรรถประโยชน์  Marginal  Utility  นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ความหมายว่า  ความพอใจที่บุคคลได้รับจากการบริโภคสินค้า
 
   
  ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น  ความต้องการและความสามารถในการซื้อเรียกว่า  อุปสงค์ Demand หากสมมติว่า เราเป็นคนที่มีเหตุมีผล
ในทางเศรษฐศาสตร์ การตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าและบริการหรือไม่นั้นก็เป็นไปตามหลักการคิดแบบหน่วยสุดท้าย
กล่าวคือ ต้องมีการเปรียบเทียบความพึงพอใจที่จะได้รับจากการบริโภคเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหน่วย   Marginal Utility: MU กับต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการบริโภคหน่วยนั้นที่เพิ่มขึ้น Marginal Cost: MC    หาก MU ที่ได้รับเท่ากันหรือมากกว่า MC ที่เกิดขึ้นจากการบริโภคแล้ว  ก็จะทำการซื้อสินค้าชิ้นนั้น  
 
   
            อย่างไรก็ดี  Marginal Utility: MU   ที่ได้รับจากการบริโภคนั้นไม่ได้คงที่เสมอไป  ลองนึกถึงความพึงพอใจที่ได้รับจากการได้กินไอศกรีมถ้วยแรกกับความพึงพอใจที่ได้รับจากการกินไอศกรีมถ้วยที่สอง  สาม  สี่และห้า จะเห็นได้ว่าไอศกรีมถ้วยแรกให้ความพึงพอใจกับเรามากกว่าไอศกรีม ถ้วยต่อๆ ไป  การลดลงของความพึงพอใจที่ได้รับจากการบริโภคเมื่อมีการบริโภคสินค้าหรือบริการชนิดเดิมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  นั้น  เรียกว่า “กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์” Law of Diminishing Marginal Utility  
   
  ถ้าเราเพิ่มข้อสมมติเข้าไปอีกว่า  ความพึงพอใจสามารถตีค่าออกมาเป็นตัวเงินได้  เช่น  ไอศกรีมถ้วยแรกให้ MU กับเราเท่ากับ 30 บาท  
ไอศกรีมถ้วยที่สองให้ MU  กับเราเท่ากับ 20 บาท  ถ้าไอศกรีมถ้วยราคาถ้วยละ 25 บาท(MC)  หากตัดสินใจตามหลักเศรษฐศาสตร์  
เราก็จะซื้อไอศกรีมถ้วยแรกมากินเนื่องจาก MU>MC  แต่จะไม่ซื้อไอศกรีมถ้วยที่สองเพราะความพึงพอใจที่ได้รับน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น
จากการบริโภคหากไอศกรีมราคาถ้วยละ 15 บาท  เราก็จะซื้อไอศกรีมเพิ่มขึ้น  จากเดิมที่เคยซื้อแค่ถ้วยเดียว
ก็เพิ่มมาเป็นสองถ้วย  เพราะไอศกรีมถ้วยที่สองนั้น MU>MC 
 
   
  ด้วยสมมติฐานทั้งสองข้อนี้เองที่ทำให้เกิด กฎของอุปสงค์  Law of Demand ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ในเชิงผกผันระหว่างราคาสินค้าและบริการกับปริมาณซื้อสินค้านั้น เมื่อใดที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น  
การซื้อสินค้าก็จะลดลง  ในทางตรงกันข้าม  เมื่อราคาสินค้าลดลง  ความต้องการซื้อสินค้านั้นก็จะเพิ่มขึ้น
 
 

 

  กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์     Law  of  Diminishing  Marginal  Utility 
เมื่อผู้บริโภคได้รับสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  โดยที่รสนิยมและอุปนิสัยของผู้บริโภคไม่เปลี่ยนแปลง  อรรถประโยชน์ของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น
ในระยะแรกแล้วค่อยๆลดลง  จนถึงจุดหนึ่งส่วนที่เพิ่มจะเท่ากับศูนย์  จะลดลงต่ำกว่าศูนย์ซึ่งเป็นไปตามกฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์
   
  อรรถประโยชน์เพิ่มและอรรถประโยชน์รวม Marginal  Utility and  Total  Utility 
อรรถประโยชน์เพิ่ม  (Marginal  Utility : MU)  
คือ  ความพอใจที่บุคคลได้รับเพิ่มขึ้นเมื่อได้รับสินค้าและบริการการสนองความต้องการเพิ่มขึ้นทีละหน่วย
อรรถประโยชน์รวม  (Total  Utility : TU)  
คือ  ผลรวมของอรรถประโยชน์เพิ่มที่บุคคลได้รับจากการบริโภคสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งขณะนั้น
   
 
  สมมติว่า    ความพึงพอใจสามารถแทนค่าได้  จะเห็นได้ว่าอรรถประโยชน์ที่เกิดจากการบริโภคไอศกรีมถ้วยแรกจะมีค่ามากที่สุด  
แต่อรรถประโยชน์ที่เกิดจากการบริโภคไอศกรีมถ้วยต่อๆไปเริ่มลดลงจนกระทั่งถ้วยที่หกจะรู้สึกอิ่มทันทีคือไม่มีอรรถประโยชน์เลย 
คือ  เท่ากับศูนย์  แต่ถ้าเรายังบริโภคไอศกรีมต่อไปนอกจากจะไม่มีอรรถประโยชน์แล้วจะให้โทษอีกด้วยนั่นคืออรรถประโยชน์ติดลบ
 
   
 

2.4.5 อุปทาน  supply
       อุปทาน หมายถึงปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการมีความเต็มใจที่จะเสนอขาย และสามารถจัดหามาขายหรือให้บริการได้ในขณะใดขณะหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดมาให้
จากความหมายของอุปทาน จะเห็นได้ว่าอุปทานประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ

 
 

1.  ความเต็มใจที่จะเสนอขายหรือให้บริการ  willingness  กล่าวคือ ณ ระดับราคาต่างๆ ที่ตลาดกำหนดมาให้ ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการมีความยินดีหรือเต็มใจที่จะเสนอขายสินค้าหรือให้บริการตามความต้องการซื้อของผู้บริโภค
2.  ความสามารถในการจัดหามาเสนอขายหรือให้บริการ ability to sell กล่าวคือ ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการจะต้องจัดหาให้มีสินค้าหรือบริการอย่างเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการซื้อของผู้บริโภค ณ ระดับราคาของตลาดในขณะนั้นๆ (สามารถเสนอขายหรือให้บริการได้)

 
   
  เมื่อกล่าวถึงคำว่า อุปทาน จะเป็นการมองทางด้านของผู้ผลิตซึ่งตรงข้ามกับอุปสงค์ที่เป็นการมองทางด้านของผู้บริโภค ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ความสัมพันธ์ของราคาสินค้าที่มีต่ออุปทานของสินค้านั้นจะเป็นไปตามกฎของอุปทาน Law of Supply  
   
  อุปทาน Supply
             หมายถึงความต้องการของผู้ผลิตหรือผู้ขาย ในการขายสินค้าและบริการ ที่ผู้ผลิตเสนอขายในระยะเวลาหนึ่ง อุปทานของสินค้าต้องเป็นปริมาณของสินค้าที่ผู้ผลิตยินดีจะขายและสินค้ามีพร้อมที่จะนำออกขาย ณ ระดับราคาต่าง ๆ ตามปรกติหากสินค้าราคาสูง ผู้ผลิตย่อมต้องการขายสินค้าจำนวนมาก ๆ แต่ถ้าสินค้าราคาต่ำความต้องการขายสินค้าของผู้ผลิตจะลดลง เราเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “กฎของอุปทาน” Law of Supply
 
   
  2.4.6 กฎของอุปทาน Law of Supply
 

ภายใต้ข้อสมมติว่าปัจจัยตัวอื่นๆที่มีผลต่ออุปทานมีค่าคงที่ ปริมาณอุปทานของสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับราคาของสินค้าชนิดนั้น กล่าวคือเมื่อราคาสินค้าสูงขึ้นปริมาณอุปทานจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีความต้องการที่จะเสนอขายมากขึ้น เพราะคาดการณ์ว่าจะได้กำไรสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อราคาสินค้าลดลงปริมาณอุปทานจะน้อยลง เนื่องจากคาดการณ์ว่ากำไรที่ได้จะลดลง ลักษณะทั่วไปของเส้นอุปทานจึงเป็นเส้นที่มีลักษณะที่ลากเฉียงขึ้นจากซ้ายไปขวา

 
             
 

2.4.7 ปัจจัยที่กำหนดอุปทานของสินค้านอกจากราคาของสินค้าแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ดังนี้

 

สินค้าราคาสูง ผู้ผลิตย่อมต้องการขายสินค้าจำนวนมาก ๆ แต่ถ้าสินค้าราคาต่ำความต้องการขายสินค้าของผู้ผลิตจะลดลง เราเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “กฎของอุปทาน” Law of Supply

 
   
 

1.     ราคาของสินค้า เมื่อราคาแพงขึ้น ความต้องการขายก็มากขึ้นด้วย

 
     
  2.    ราคาของปัจจัยการผลิตหรือต้นทุนการผลิต เนื่องจากราคาปัจจัยการผลิตเป็นตัวกำหนดต้นทุนการผลิตของสินค้าหรือบริการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาปัจจัยการผลิตทำให้ต้นทุนการผลิตเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกัน เช่น ถ้าค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการเสนอขายหรืออุปทานลดลงได้ และถ้ากลับกันก็จะให้ผลในทางตรงกันข้าม หรือ หากต้นทุนค่าขนส่งแพงขึ้นเพราะราคาน้ำมันแพงขึ้น แต่ราคาสินค้าที่นำไปวางขายไม่เปลี่ยนแปลง จะทำให้ผู้ผลิตอยากขายสินค้าในปริมาณที่น้อยลง เพราะได้กำไรน้อยลง
 
     
  3.    ราคาสินค้าอื่น ๆที่เกี่ยวข้อง  การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าชนิดหนึ่งอาจมีผลกระทบต่อปริมาณความต้องการเสนอขาย หรืออุปทานของสินค้าชนิดหนึ่งได้ เช่น ถ้าราคาส้มลดลง ชาวสวนอาจหันไปปลูกมะนาวแทน ทำให้ปริมาณความต้องการขายส้มลดลง ส่วนของมะนาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตรายดังกล่าวคาดว่าตนจะได้รับกำไรเพิ่มขึ้นจากการปลูกมะนาวแทนส้ม หรือ กรณีที่ราคาสินค้าอื่นแพงขึ้น อาจมีผลทำให้อุปทานของสินค้าชนิดที่ผลิตอยู่ลดลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น เมื่อราคาข้าวโพดแพงขึ้น คนที่เคยปลูกมันสำปะหลังอยู่ อาจหันไปปลูกข้าวโพดแทน และลดการปลูกมันสำปะหลังลง ซึ่งผลทำให้อุปทานของมันสำปะหลังสูงขึ้น ขณะที่อุปทานของข้าวโพดลดลง เป็นต้น
 
     
  4.    เทคโนโลยีในการผลิตสินค้า    ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง เนื่องจากปัจจัยการผลิตจำนวนเท่าเดิมผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าได้ปริมาณมากขึ้น นั่นคือ ความสามารถในการเสนอขายหรืออุปทานของสินค้าของผู้ผลิตมีเพิ่มขึ้น เช่น หากมีการคิดค้นเทคโนโลยีในการผลิตให้ดีขึ้น ทำให้ผลิตได้ปริมาณสินค้ามากขึ้นด้วยต้นทุนเท่าเดิม จะทำให้ปริมาณการเสนอขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้
 
     
  5.    การคาดการณ์ในอนาคต    ถ้าผู้ผลิตคาดการณ์ว่าราคาสินค้าในอนาคตจะสูง ขึ้น ผู้ผลิตจะชะลอปริมาณการเสนอขายในปัจจุบันลง เพื่อจะเก็บไว้รอขายในอนาคต (อุปทานลดลง) ในทางกลับกัน ถ้าคาดการณ์ว่าราคาสินค้าในอนาคตจะลดลง ผู้ผลิตจะเพิ่มปริมาณการเสนอขายในปัจจุบันมากขึ้น (อุปทานเพิ่มขึ้น) เช่น หากผู้ผลิตหรือผู้ขายคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว ก็เสนอขายสินค้าในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
 
     
  6.    จำนวนผู้ประกอบการ หรือ จำนวนผู้ขาย ถ้าผู้ผลิตหรือผู้ขายมีจำนวนมากขึ้น จะทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผู้ผลิตน้อยลงจะทำให้อุปทานลดลง
 
     
  7.    เป้าหมายของผู้ผลิต  ถ้าธุรกิจผลิตรถยนต์ ต้องการ ผลิตรถกระบะมากกว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลก็จะใช้ปัจจัยการผลิตส่วนมากไปผลิตรถกระบะทำให้ปริมาณการผลิตรถกระบะเพิ่มมากขึ้น
 
     
  8.  ปัจจัยอื่น เช่น ฤดูกาล ภาษีและเงินอุดหนุน และโครงสร้างตลาดสินค้า ฯลฯ  จำนวนภาษีหรือเงินอุกหนุนที่รัฐบาลจัดเก็บจากการขายสินค้าและบริการเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดต้นทุนการผลิตของสินค้าและบริการ ถ้ารัฐบาลเก็บภาษีในอัตราสูงจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น ทำให้อุปทานลดลง แต่ถ้ารัฐบาลเก็บภาษีในอัตราลดลง ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าลดลง และอุปทานจะเพิ่มขึ้น หรือ ฤดูกาล สภาพดินฟ้าอากาศ ส่วนใหญ่จะมีอิทธิพลต่อผลผลิตทางการเกษตร ถ้าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลผลผลิตก็จะมีมากและอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าสภาพดินฟ้าอากาศไม่ดีปริมาณผลผลิตก็จะมีน้อย  
     
  2.4.8 ราคาและราคาดุลยภาพ
       ในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าราคาของสินค้าและบริการจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาด เนื่องจากอุปสงค์จะแสดงถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าชนิดหนึ่งเป็นปริมาณเท่าใดในแต่ละระดับราคา ส่วนอุปทานจะเป็นการแสดงถึง พฤติกรรมของผู้ผลิตในการขายสินค้าชนิดนั้นเป็นปริมาณเท่าใดในแต่ละระดับราคา โดยปกติแล้วปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าไม่จำเป็นจะต้องเท่ากับปริมาณความต้องการเสนอขายหรือ อุปทานในสินค้า ณ ขณะใด พฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าจะเป็นไปตามกฎของอุปสงค์และอุปทานดังนี้
 
     
         ถ้าอุปสงค์ของสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งมีปริมาณมากกว่าอุปทานของสินค้าชนิดนั้น ราคาสินค้านั้นจะมีแนวโน้มสูงขึ้น และเมื่อราคาสินค้าสูงขึ้นจะทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น อุปสงค์ลดลง ตรงกันข้าม ถ้าอุปสงค์มีปริมาณน้อยกว่าอุปทาน ราคาสินค้านั้นจะมีแนวโน้มลดลง และเมื่อราคาสินค้าลดลงจะทำให้อุปทานลดลง อุปสงค์เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานของสินค้าจะเคลื่อนไหว สลับไปมาอย่างนี้เรื่อยไป จนกระทั่งเข้าสู่ดุลยภาพของตลาด ณ จุดที่ปริมาณอุปสงค์เท่ากับปริมาณอุปทาน เราเรียกระดับราคาดังกล่าวว่า ราคาดุลยภาพ equilibrium price  
     
 

ราคาดุลยภาพ  หมายถึง  ระดับราคา ณ จุดที่ปริมาณอุปสงค์เท่ากับปริมาณอุปทาน (ดุลยภาพ ของตลาด) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นราคาที่ความต้องการเสนอซื้อเท่ากันพอดีกับความต้องการ เสนอขาย ถ้าพิจารณาจากกราฟ ราคาดุลยภาพจะเป็นระดับราคา ณ จุดที่เส้นอุปสงค์ตัดกับเส้นอุปทาน

 
 
 
 

จากตาราง ราคาดุลยภาพเท่ากับ 30 บาท ปริมาณดุลยภาพเท่ากับ 3 หน่วย (ปริมาณอุปสงค์เท่ากับปริมาณอุปทาน)

 
     
  ระดับราคาที่อยู่เหนือราคาดุลยภาพจะทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด excess supply or surplus เนื่องจากระดับราคาดังกล่าวสูงกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ผู้ผลิตมีความต้องการที่จะเสนอขายมาก แต่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อน้อย เกิดความไม่สมดุล ณ ระดับราคาดังกล่าว ถ้าผู้ผลิตมีความต้องการที่จะขายก็จะต้องลดราคาลงมา เพื่อกระตุ้นหรือจูงใจผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อ (มีความต้องการซื้อ) มากขึ้น โดยสรุป ราคาจะมีแนวโน้มลดลงจากเดิมจนเข้าสู่ราคาดุลยภาพ ในทางกลับกัน ถ้าราคาอยู่ต่ำกว่าราคาดุลยภาพจะทำให้เกิดภาวะสินค้าขาดตลาด excess demand or shortage ซึ่งราคาดังกล่าว ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ผู้ผลิตมีความต้องการที่จะเสนอขายน้อย แต่ผู้บริโภคกลับมีความต้องการซื้อมาก เกิดความไม่สมดุล เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการซื้อมาก (อุปสงค์เพิ่ม) ส่งผลให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้น เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตเสนอขายสินค้ามากขึ้น ในที่สุดราคาจะมีแนวโน้มเข้าสู่ราคาดุลยภาพ  
     
 
 
     
 

สรุประดับราคาที่อยู่สูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาดุลยภาพจะเป็นระดับราคาที่ไม่มีเสถียรภาพ ราคาที่อยู่สูงกว่าราคาดุลยภาพจะมีแนวโน้มลดลงมา ส่วนราคาที่อยู่ต่ำกว่าราคาดุลยภาพ จะมีแนวโน้มสูงขึ้น จนในที่สุดเข้าสู่ดุลยภาพของตลาด ซึ่งเป็นระดับราคาที่ค่อนข้างจะมีเสถียรภาพเป็นระดับราคา ณ จุดที่อุปสงค์เท่ากับอุปทาน (เส้นอุปสงค์ตัดกับเส้นอุปทาน)

 
     
 

ดุลยภาพของตลาดอาจเปลี่ยนได้  หากเส้นอุปสงค์เปลี่ยนหรือเส้นอุปทานเปลี่ยน  หรือ ทั้งสองเส้นเปลี่ยนพร้อมกัน

 
     
   กรณีที่ 1 อุปสงค์อาจเปลี่ยนไปในทางที่เพิ่มขึ้น  (เส้นอุปสงค์ Shift มาทางขวา)   
   
  กรณีที่ 1
สมมติว่า เดิมราคาเนื้อน่องไก่ จุดดุลภาพอยู่ที่ E0  เท่ากับกิโลกรัมละ40 บาท ปริมาณดุลยภาพเท่ากับ 4,000 ก.ก. ต่อมาถึงเทศกาลปีใหม่ ความต้องการบริโภคน่องไก่เพิ่มขึ้น อุปสงค์ต่อน่องไก่จึงเพิ่มขึ้นเส้นอุปสงค์จึงเปลี่ยนจากเส้นD0 ไปเป็นเส้นD1 ทำให้จุดดุลยภาพเปลี่ยนจากจุด E0 ไปเป็นจุด E1 ทำให้ราคาดุลภาพเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 60 บาท ปริมาณดุยภาพเท่ากับ 6,000 กิโลกรัม
 
     
  กรณีที่ 2 อุปสงค์อาจเปลี่ยนไปในทางที่ลดลง  (เส้นอุปสงค์ Shift มาทางซ้าย)    
   
  กรณีที่ 2
สมมติว่า เดิมราคาเนื้อน่องไก่ จุดดุลภาพอยู่ที่ E0  เท่ากับกิโลกรัมละ40 บาท ปริมาณดุลยภาพเท่ากับ 4,000 ก.ก. ต่อมาถึงเทศกาลกินเจ ความต้องการบริโภคน่องไก่ลดลง อุปสงค์ต่อน่องไก่จึงลดลงเส้นอุปสงค์จึงเปลี่ยนจากเส้นD0 ไปเป็นเส้นD2 ทำให้จุดดุลยภาพเปลี่ยนจากจุด E0 ไปเป็นจุด E2 ทำให้ราคาดุลภาพลงเป็นกิโลกรัมละ 20 บาท ปริมาณดุยภาพเท่ากับ 2,000 กิโลกรัม
 
     
  กรณีที่ 3 อุปทานอาจเปลี่ยนไปในทางที่เพิ่มขึ้น  (เส้นอุปทาน Shift มาทางขวา)    
   
  กรณีที่ 3
สมมติว่า เดิมราคาลำไยอยู่ที่จุดดุลยภาพ E0 เท่ากับกิโลกรัมละ 40 บาท ปริมาณดุลภาพเท่ากับ 4,000 กิโลกรัม ต่อมาลมฟ้าอากาศดี ทำให้ลำไยดก มีปริมาณเพิ่มขึ้น จุดดุลยภาพเปลี่ยนจาก E0 มาอยู่ที่ E1 ราคาดุลยภาพเปลี่ยนเป็น 20 บาท/กิโลกกรัม ปริมาณดุลยภาพเท่ากับ 6,000กิโลกรัม
 
     
  กรณีที่ 4 อุปสงค์อาจเปลี่ยนไปในทางที่ลดลง  (เส้นอุปทาน Shift มาทางซ้าย)   
   
  กรณีที่ 4
สมมติว่า เดิมราคาลำไยอยู่ที่จุดดุลยภาพ E0 เท่ากับกิโลกรัมละ 40 บาท ปริมาณดุลภาพเท่ากับ 4,000 กิโลกรัม ต่อมาเกิดความแห้งแล้งลมฟ้าอากาศไม่ดี ทำให้ลำไย มีปริมาณลดลง จุดดุลยภาพเปลี่ยนจาก E0 มาอยู่ที่ E2 ราคาดุลยภาพเปลี่ยนเป็น 60 บาท/กิโลกกรัม ปริมาณดุลยภาพเท่ากับ 2,000กิโลกรัม
 
     
     
     

Copyright By : Chalengsak Chuaorrawan Sainampeung School
186 Sukhumwit 22 Sukhumwit RD Khlongtoei Khlongtoei Bangkok Thailand
e-mail address : chalengsak.ch@hotmail.com
Tel; 089-200-7752 mobile
http://www.sainampeung.ac.th